EGCO ตั้งงบลงทุนปีนี้ 3 หมื่นล้าน โกยกำลังผลิตไฟใหม่ 1,000 เมกะวัตต์
EGCO เดินหน้าธุรกิจช่วงรอยต่อตั้ง CEO คนใหม่ พร้อมตั้งงบลงทุนปีนี้ 3 หมื่นล้านบาท โกยดีลกำลังผลิตไฟฟ้าเข้าพอร์ตเพิ่ม 1,000 เมกะวัตต์ เพื่อทำให้ภายในสิ้นปี 67 จะมีกำลังผลิตรวมแตะระดับ 8,000 เมกะวัตต์
นายสมเกียรติ สุทธิวานิช รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานบัญชีและการเงิน บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO เปิดเผยในรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” ถึงทิศทางการดำเนินงานของ เอ็กโก กรุ๊ป ในปี 2567 ว่า แม้ขณะนี้ทางเอ็กโก กรุ๊ป อยู่ในช่วงรอยต่อการแต่งตั้งกรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ แทนนายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ที่ออกไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แต่ได้มีการวางกรอบนโยบายใหญ่ไว้แล้ว ทำให้แผนการดำเนินงานไม่สะดุด และสามารถเดินหน้าขยายธุรกิจต่อไปได้
ทั้งนี้ในปี 2567 เอ็กโก กรุ๊ป ยังคงมุ่งเน้นการขยายบริษัทให้เติบโตอย่างยั่งยืน เน้นการขยายลงทุนทั้งโรงไฟฟ้าและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ภายใต้กลยุทธ์ “4S” เพื่อสร้างรายได้ให้บริษัทอย่างรวดเร็วและเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ 1. Strengthen financial performance เสริมความแข็งแกร่งในการแข่งขันด้านการเงิน ทั้งต้นทุนทางการเงินและความเสี่ยงทางการเงิน ต้องบริหารให้ดีที่สุด 2. Select high quality project ให้ความสำคัญกับการลงทุนในรูปแบบควบรวมหรือเข้าซื้อกิจการ (M&A) ทั้งโรงไฟฟ้า Conventional และ Renewable ที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อรับรู้รายได้ทันที
3.Speed up projects under construction เร่งรัดบริหารโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามแผนงาน และ 4. Streamline portfolio and improve operation บริหารพอร์ตโฟลิโอโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน 41 แห่ง กำลังการผลิตรวม 6,996 เมกะวัตต์ และธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่องให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืน
“สำหรับการแต่งตั้ง กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป คนใหม่ แทนนายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ นั้น จะเป็นหน้าที่ของ กฟผ. ที่จะส่งรองผู้ว่าการอาวุโส กฟผ. เพื่อเสนอบอร์ด เอ็กโก กรุ๊ป พิจารณาอนุมัติ จึงเชื่อว่านโยบายต่าง ๆ ที่นายเทพรัตน์ วางไว้ดีแล้ว จะไม่สะดุด และ CEO คนใหม่จะสานต่อไปได้อย่างราบรื่น และยังเน้นหลักธรรมาภิบาล รวมทั้งสิ่งแวดล้อม ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกท่าน ไม่ได้เน้นการทำอัตรากำไรสูงสุด” นายสมเกียรติ กล่าว
นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า ด้านงบลงทุนปี 2567 เอ็กโก กรุ๊ป เตรียมไว้ 30,000 ล้านบาท และกำหนดเป้าหมายเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นอีก 1,000 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 12-13% ของกำลังการผลิตรวม 6,996 เมกะวัตต์ ทำให้ภายในสิ้นปี 2567 จะมีกำลังผลิตรวมแตะระดับ 8,000 เมกะวัตต์ โดยมุ่งเน้นการลงทุนพลังงานหมุนเวียน ถัดมาเป็นโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ ซึ่งสนับสนุนเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานไปสู่การใช้พลังงานสะอาด รวมทั้งการขยายพอร์ตโฟลิโอพลังงานหมุนเวียน โดยมีความได้เปรียบจากการมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งใน 8 ประเทศที่มีฐานทางธุรกิจอยู่แล้ว ได้แก่ ไทย สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ ปัจจุบันเอ็กโก กรุ๊ปมีเงินสดในมือประมาณ 28,000 ล้านบาท อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่ 1.31 เท่า ซึ่งอยู่ในระดับที่ดี ขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งได้ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของเอ็กโก กรุ๊ป ที่ระดับ “AA+” จึงมั่นใจว่าแม้เงินสดในมือจะไม่ถึง 30,000 ล้านบาท แต่บริษัทยังมีความสามารถในการกู้ยืมจากสถาบันการเงินเพิ่มเติมได้บางส่วน เพื่อรองรับการลงทุนหากมีโครงการที่เหมาะสมเข้ามา
ขณะเดียวกัน เอ็กโก กรุ๊ป ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทน จากปัจจุบันมีกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนรวม 1,440 เมกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วน 21% ของกำลังผลิตทั้งหมด ทั้งจากชีวมวล พลังน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม ทั้งบนบกและในทะเล เซลล์เชื้อเพลิง และระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 30% ภายในปี 2573 รวมทั้งไม่มีแผนขยายกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าถ่านหินเพิ่มเติมในอนาคต
นายสมเกียรติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวโน้มรายได้ปี 2567 คาดว่าจะยังเติบโตต่อเนื่อง แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ โรงไฟฟ้าเดิมที่มีในพอร์ตโฟลิโอ ซึ่งมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว ทำให้รายได้ในส่วนนี้ใกล้เคียงกับปีก่อน ขณะที่ส่วนที่เพิ่มขึ้นมาในปี 2567 คือ กลุ่มโรงไฟฟ้าคัมแพซ (Compass Portfolio) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง (CCGT) จํานวน 3 แห่ง ในสหรัฐฯ ที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว รวม 1,304 เมกะวัตต์ (เอ็กโก กรุ๊ป ถือหุ้น 50% คิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้น 652 เมกะวัตต์) ซึ่งปี 2566 ยังไม่ได้บันทึกรายได้ส่วนนี้เข้ามา
ส่วนอีกโครงการ คือ การถือหุ้นสัดส่วน 30% ในบริษัท พีที จันทรา ดายา อินเวสตาสิ (CDI) เป็นบริษัทย่อยในเครือ CAP ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านเคมีและสาธารณูปโภคแบบครบวงจรรายใหญ่ในอินโดนีเซีย โดยเป็นธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ ธุรกิจผลิตและส่งจ่ายน้ำ และธุรกิจบริหารจัดการคลังเก็บผลิตภัณฑ์เคมีและท่าเทียบเรือ ซึ่งโครงการต่าง ๆ เสร็จหมดแล้ว จึงรับรู้รายได้ทันทีในปี 2567 นอกจากนี้ทีมพัฒนาฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อตัดสินใจเข้าซื้อกิจการโครงการใหม่ ปัจจุบันพิจารณา 2-3 โครงการที่ COD แล้ว ทำให้สามารถรับรู้รายได้ทันที แต่อาจไม่เต็มปีหากปิดในช่วงไตรมาส 2/2567 ก็จะรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้
นอกจากนี้ โครงการหยุนหลิน ปัจจุบันโครงการได้ติดตั้งเสากังหัน (Monopile) แล้วเสร็จรวม 45 ต้น ซึ่งเป็นกังหันลม (Wind Turbine Generator) ที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้วทั้งสิ้น 33 ต้น คิดเป็นกำลังผลิตรวม 264 เมกะวัตต์ ตั้งเป้าติดตั้งให้ครบ 80 ต้น รวม 640 เมกะวัตต์ภายในสิ้นปี 2567 ซึ่งการรับรู้รายได้จากโครงการหยุนหลินนั้น จะรับรู้ทันทีหากแต่ละต้นจ่ายไฟเข้าระบบ ไม่ต้องรอให้แล้วเสร็จทั้งโครงการ
นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า โรงไฟฟ้าเควซอน (Quezon) ในฟิลิปปินส์ ที่จะหมดสัญญาในเดือนพฤษภาคม 2568 ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาต่อรองราคาค่าไฟ เนื่องจากต้นทุนหลักเป็นราคาเชื้อเพลิง การปรับราคาขึ้นลง จำเป็นต้องมีสูตรคำนวณที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้ความเสี่ยงอยู่ที่โรงไฟฟ้าดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม โรงไฟฟ้าเควซอน มีโอกาสสูงที่จะได้รับการต่อสัญญา เนื่องจากฟิลิปปินส์เป็นเกาะ โครงข่ายไฟฟ้าไม่เชื่อมโยงทั้งประเทศเหมือนกับประเทศไทย รวมทั้งจำนวนประชากรค่อนข้างมาก มีกลุ่มผู้มีรายได้ไม่สูงจำนวนมาก ดังนั้นต้นทุนไฟฟ้าราคาถูกถือว่าเป็นสิ่งที่มีความต้องการมาก
ขณะที่ด้านโครงการพลังงานหมุนเวียนของบริษัท เอเพ็กซ์ คลีน เอ็นเนอร์ยี โฮลดิ้ง (APEX) ผู้พัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ที่เอ็กโก กรุ๊ป ถือหุ้นอยู่ 17.46% ซึ่งในปี 2567 มีโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 7 โครงการ รวม 1,035 เมกะวัตต์ แบ่งเป็น โครงการโซลาร์ฟาร์ม จำนวน 3 โครงการ รวม 520 เมกะวัตต์, โครงการพลังงานลม จำนวน 2 โครงการ รวม 315 เมกะวัตต์ และโครงการแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน จำนวน 2 โครงการ รวม 200 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ โครงการ APEX ซึ่งเป็นผู้พัฒนาหรือสร้างโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ที่พัฒนาโรงไฟฟ้าแล้วขายโรงไฟฟ้า และสร้างโรงไฟฟ้าเพื่อขายไฟฟ้า เป็นการดำเนินการได้ทั้งสองรูปแบบ จากเดิมที่บริษัทลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าแบบมีสัญญา PPA (Power Purchase Agreement) ทำให้มีโรงไฟฟ้าหลายโรงกำลังจะหมดสัญญาและต้องพัฒนาใหม่ แต่ APEX มีแผนขยายกำลังการผลิต 100-1,000 เมกะวัตต์ต่อปี ส่งผลให้เอ็กโก กรุ๊ป สามารถขยายพอร์ตพลังานทดแทนได้รวดเร็วมากขึ้น นอกจากนี้กฎหมายของสหรัฐฯ ก็เอื้อต่อการลงทุนพลังงานทดแทน รัฐช่วยเรื่องเงินทุน ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมลงทุนได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ทำให้พลังงานทดแทนในสหรัฐฯ เติบโตอย่างรวดเร็ว
นายสมเกียรติ กล่าวทิ้งท้าย อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา ราคาหุ้น EGCO ปรับลดลง แต่ในแง่ของพื้นฐานยังคงเดิม และทิศทางยังเติบโตต่อเนื่อง นอกจากนี้ จากพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งและกระแสเงินสดที่มั่นคง ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น (AGM) ประจำปี 2567 ให้จ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2566 ในอัตรา 3.25 บาทต่อหุ้น หลังจากได้รับการอนุมัติจากที่ประชุม AGM ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 12 เมษายน 2567 จะทำให้ทั้งปี 2566 มีการจ่ายปันผลทั้งหมดอยู่ที่ 6.50 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทนประมาณ 5%