“สปสช.” เคาะสิทธิบัตรทองรักษา “หยุดหายใจขณะหลับ” คาดอัดงบปีละ 84 ล้าน

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว เผยบอร์ด “สปสช.” เคาะสิทธิบัตรทองทำ Sleep test รักษาโรคหยุดหายใจขณะหลับผ่านเครื่อง CPAP คาดใช้เงินหนุนโครงการปีละ 84 ล้าน หวังลดเสี่ยงโรคแทรกซ้อนและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ผู้ป่วย


ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (1 เม.ย.67) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เปิดเผยว่า ในการประชุม สปสช. เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 67 ที่ผ่านมาได้มีการพิจารณาและมีมติเห็นชอบข้อเสนอการตรวจวินิจฉัยโรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (OSA) และการรักษาด้วยเครื่องอัดอากาศแรงดันบวก (CPAP) เป็นสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง 30 บาท

โดยกล่าวว่า สิทธิประโยชน์ดังกล่าวมีที่มาจากข้อเสนอในโครงการศึกษาเพื่อพัฒนาชุดสิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบบัตรทอง 30 บาท หรือ ยูซีบีพี (UCBP) ตั้งแต่ปี 61 ซึ่งได้มีการศึกษาเพิ่มเติมจนกระทั่งมาเสร็จสิ้นเมื่อปี 66 พบว่าโรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นเป็นหนึ่งในโรคที่พบได้บ่อยในคนไทยไม่ว่าจะเพศชายหรือเพศหญิง ซึ่งหลายคนคิดว่าเป็นอาการปกติของร่างกายจนอาจละเลยไป

ทั้งที่แท้จริงแล้วมีสาเหตุมาจากการสาเหตุกล้ามเนื้อทางเดินหายใจส่วนบนหย่อนและยุบตัวขณะหลับ ส่งผลให้ลมหายใจผ่านได้น้อย หรือผ่านไม่ได้เลย ทำให้เลือดมีออกซิเจนน้อยและมีคาร์บอนไดออกไซต์เกินกว่าปกติ โดยเมื่อเข้าสู่สภาวะดังกล่าวสมองจะเกิดการตื่นตัวโดยอัตโนมัติเพราะต้องปรับการหายใจจนไม่สามารถนอนหลับได้ตามปกติ

“ขณะที่พอตื่นนอนก็จะมีอาการคล้ายคนอดนอนหรือนอนไม่เต็มอิ่ม แม้จะได้นอนอย่างเต็มที่ สมาธิความจำและสมรรถภาพการทำงานก็จะลดลงซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตโดยตรง ที่สำคัญคืออาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนหรือโรคอื่นๆ ที่มีความร้ายแรงได้ด้วย อาทิ โรคความดันโลหิตสูง, โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ, หัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) โดยในวันนี้บอร์ด สปสช. จึงมีมติเห็นชอบให้มีการตรวจวินิจฉัยโรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (Sleep test) รวมถึงการรักษาด้วยเครื่องอัดอากาศแรงดันบวกนี้” นพ.ชลน่าน กล่าว

ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่าสำหรับหลักเกณฑ์และข้อบ่งชี้ในการรับบริการ มีดังต่อไปนี้ 1.มีอายุ 50 ปีขึ้นไป และ 2.มีข้อบ่งชี้ในการส่งตรวจการนอนหลับอย่างชัดเจน อาทิ มีปัญหาการนอนและมีคะแนนการประเมินความเสี่ยง OSA สูงหรือแพทย์พิจารณาแล้วว่ามีความจำเป็นต้องได้รับการรักษา

โดยผู้ที่จะได้รับการรักษาด้วยเครื่องอัดอาการแรงดันบวกจะต้องมีภาวะความรุนแรงของโรคในระดับมากถึงปานกลาง และเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจหรือหลอดเลือดร่วมด้วย พร้อมทั้งผ่านการทดลองการยอมรับการใช้เครื่อง CPAP ตามที่กำหนด

ทั้งนี้ในส่วนของงบประมาณ คาดว่าในแต่ละปีจะใช้งบประมาณ 84 ล้านบาท สำหรับในปีงบประมาณ 67 หากสามารถเริ่มให้บริการได้จะใช้งบประมาณราว 42 ล้านบาท โดยหลังจากที่บอร์ด สปสช. มีมตินี้แล้ว สปสช. จะดำเนินการต่างๆ เพื่อรองรับการให้บริการก่อน อาทิ จัดทำประกาศหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเบิกจ่ายสำหรับหน่วยบริการ การประสานหน่วยบริการ รวมทั้งระบบรองรับการดำเนินการ ตามมติบอร์ด สปสช. ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ยังต้องใช้เวลาดำเนินการ

“นอกจากนี้ หากทุกอย่างมีความพร้อมในการให้บริการแล้ว ทาง สปสช.จะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบอีกครั้ง” นพ.จเด็จ กล่าว

Back to top button