ASW กวาดยอดขาย Q1 แตะ 6.3 พันล้าน จ่อเปิด 2 โครงการใหม่ มูลค่า 2.5 พันลบ.

ASW กวาดยอดขายไตรมาสแรกแตะ 6.3 พันล้านบาท เติบโต 65% แย้มไตรมาส 2/67 เตรียมเปิดคอนโด 2 โครงการใหม่ แคมปัสคอนโดฯ แบรนด์ “เคฟ” มูลค่า 2.5 พันล้านบาท


นายกรมเชษฐ์  วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” หรือ “We Build Happiness” เปิดเผยว่า ในไตรมาสแรกของปี 2567 บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายรวม (Pre-sale) ได้สูงถึง 6,269 ล้านบาท เติบโตกว่า 65% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) คิดเป็น 35% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่วางไว้ 17,800 ล้านบาท

ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการตอบรับที่ดีของโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ THE TITLE ที่พัฒนาภายใต้บริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE บริษัทลูกของ ASW ได้แก่ “เดอะไทเทิล เฮอริเทจ บางเทา” (The Title Heritage Bang-Tao) 789 ยูนิต บนทำเลทองคำใจกลางย่านไลฟ์สไตล์ของหาดบางเทา มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท ปัจจุบันสามารถกวาดยอดจองไปแล้วกว่า 50% จากที่เปิดขายไปเมื่อช่วงต้นปี 2567 และโครงการ “เดอะไทเทิล ซีรีนิตี้ ในยาง” (The Title Serenity Naiyang)  814 ยูนิต ซึ่งขื้นชื่อว่าเป็นโครงการที่สวยงามในย่านหาดในยาง กับความร่มรื่นในบรรยากาศใกล้อุทยานแห่งชาติสิรินาถ มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท โดยทั้งสองโครงการยังได้รับสัญญาณเป็นบวกจากตลาดท่องเที่ยวภูเก็ต สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของลูกค้าทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติที่มีต่อแบรนด์ THE TITLE และ ASW

โดยจังหวัดภูเก็ตเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญในการท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ มีชาวรัสเซียเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวราว 2,000-3,000 คนต่อวัน และมีนักท่องเที่ยวชาวจีนราว 1,000 คนต่อวัน ซึ่งจากปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิศาสตร์ ส่งผลให้เกิดความต้องการที่พักอาศัยในภูเก็ตเพื่อเป็นบ้านหลังที่สองเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดย THE TITLE และ ASW ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตอย่างต่อเนื่อง ในฐานะผู้นำตลาดในพื้นที่ของภูเก็ต ที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าชาวต่างชาติ

สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในไตรมาสแรกปี 2567 อยู่ในภาวะทรงตัว ขณะที่ไตรมาส 2/2567 ตลาดเริ่มส่งสัญญานความคึกคัก ล่าสุดคณะกรรมการจัดสรรที่ดินกลางได้เห็นชอบในหลักการปรับลดขนาดที่ดินขั้นต่ำในการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรร ได้แก่ บ้านเดี่ยวจากเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 50 ตารางวาต่อหลัง เป็นเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 35 ตารางวา และบ้านแฝดจากเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 35 ตารางวาต่อหลังเป็นเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 28 ตารางวา รวมถึงทาวน์เฮ้าส์จากเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 16 ตารางวาต่อห้อง เป็นเนื้อที่ 14 ตารางวา เพื่อให้สอดคล้องความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของประชาชนในปัจจุบัน

นอกจากนี้ยังมีมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาฯ อื่นๆ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทย เช่น การลดค่าธรรมเนียมการโอนและขยายเพดานราคาบ้านที่ได้รับการลดหย่อนมาตรการทางภาษีค่าธรรมเนียมอสังหาฯ จากบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เป็นไม่เกิน 5 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเป็นแพ็คเกจในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลเตรียมเอาไว้หลังผ่านงบประมาณ 2567

นายกรมเชษฐ์ กล่าวต่อว่า ในไตรมาส 2 บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการต่อเนื่อง โดยเตรียมเปิด 2 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการรวม 2,460 ล้านบาท เป็นคอนโดฯ 2 โครงการ ได้แก่ เคฟ ลูมินัส บางมด (Kave Luminous Bangmod) 617 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท, เคฟ เจเนซิส นครปฐม (Kave Genesis Nakhonphathom)  627 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,160 ล้านบาท

“คอนโดฯ แบรนด์เคฟเป็น 1 ในเรือธงหลักของ ASW ที่สร้างความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตรายได้ของบริษัทฯ มาอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับการตอบรับจากผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง และกลุ่มผู้ซื้ออสังหาฯ เพื่อการลงทุนที่ต้องการรับผลตอบแทนที่ดีจากการปล่อยเช่า” นายกรมเชษฐ์ กล่าว

อนึ่ง ASW ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยมุ่งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวสูงและแนวราบบนทำเลศักยภาพ ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” หรือ “We Build Happiness” ปัจจุบันได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการบ้านจัดสรรมาแล้วกว่า 66 โครงการ ภายใต้แบรนด์ในเครือที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความสุขให้เหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์ ได้แก่ แบรนด์ เคฟ (KAVE), แบรนด์ แอทโมซ (ATMOZ), แบรนด์ โมดิซ (MODIZ), แบรนด์ เอสต้า (ESTA), แบรนด์ ดิ อาเบอร์ (THE ARBOR), แบรนด์ ดิ ออเนอร์ (THE HONOR) รวมถึงแบรนด์ภายใต้ บริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ “TITLE” ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ รวมมูลค่าโครงการกว่า 93,800 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและโครงการพร้อมอยู่ 46 โครงการ และโครงการที่กำลังเปิดขายและอยู่ระหว่างการพัฒนา 20 โครงการ และ ณ สิ้นปี 2566 มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ารวมกว่า 19,575 ล้านบาท

Back to top button