โบรกชี้ BCH-CHG-RAM กระทบจำกัด โครงการ “หนึ่งบัตรรักษาทุกที่” เฟส 2

บล.ทิสโก้ ประเมิน สปสช. เปิดโครงการ "หนึ่งบัตรรักษาทุกที่" เฟส 2 คาดเห็นผลกระทบต่อ รพ. ประกันสังคมจำกัด ชี้ BCH-CHG-RAM ได้รับผลกระทบน้อย


สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ทดลองนำโครงการ “หนึ่งบัตรรักษาทุกที่” ระยะที่สองภายใต้นโยบายปรับโครงสร้างระบบสุขภาพอย่างรวดเร็วของกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม โครงการนี้ถูกนำไปใช้ใน 12 จังหวัดทั่วประเทศในปัจจุบันอนุญาตให้ประชาชนไทยสามารถรับการรักษาพยาบาลได้ที่สถานพยาบาลของรัฐและคลินิกเอกชนที่เข้าร่วมโครงการ โดยไม่จำกัดโรงพยาบาลหลักที่ได้เลือกไว้ โดยสปสช. วางแผนที่จะขยายพื้นที่นำร่องไปยัง 6 เขตสุขภาพ (จากทั้งหมด 13 เขตทั่วประเทศ) ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระยะที่สาม และมีเป้าหมายสุดท้ายคือ การครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศภายในปี 2567

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ระบุว่า คาดหวังว่าโครงการนี้จะช่วยปรับปรุงผลการรักษา และความพึงพอใจโดยรวมสำหรับผู้ที่มีสิทธิหลักประกันสุขภาพ (UCS) และไม่ได้กังวลว่าผู้ป่วยของ SSO อาจจะหันไปใช้สิทธิ UCS เนื่องจาก 2 เหตุผล คือ 1) ส่วนใหญ่ของสมาชิก SSO มาจากมาตรา 33 ซึ่งกำหนดให้ต้องส่งเงินสมทบ SSO ตามเงื่อนไขการจ้างงาน และ 2) สวัสดิการอื่นๆ นอกเหนือจากด้านการรักษาพยาบาลของ สปส. เช่นบำนาญและเงินสงเคราะห์บุตร จะช่วยรักษาสมาชิกไว้ในระบบ ดังนั้น โรงพยาบาลเอกชนที่มีผู้ป่วย SSO น่าจะได้รับผลกระทบต่อรายได้ค่ารักษาพยาบาลแบบเหมาจ่ายรายหัวในระดับจำกัด

โดยตามข้อมูลของสำนักงานประกันสังคม ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 มีผู้ประกันตน 48% ที่เป็นลูกจ้างตามมาตรา 33 ซึ่งมีหน้าที่ต้องส่งเงินสมทบกองทุนประกันสังคมเป็นรายเดือน ผู้ประกันตนกลุ่มนี้จะสามารถสลับไปใช้สิทธิ UCS ได้ก็ต่อเมื่อตกงานเป็นเวลานานกว่า 6 เดือน ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงสิทธิประโยชน์ของระบบ UCS หรือ SSO น่าจะไม่มีผลกระทบอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของกลุ่มผู้ประกันตนประกันสังคม

ทั้งนี้ ฝ่ายนักวิเคราะห์เห็นว่าสวัสดิการบำนาญและเงินสงเคราะห์ระยะยาวอื่นๆ มีบทบาทในการรักษาผู้ประกันตนไว้ในระบบประกันสังคม ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 มีผู้ประกันตนประมาณ 2% ของจำนวนผู้ประกันตนทั้งหมดที่กำลังได้รับสวัสดิการบำนาญ นอกจากนี้ มีผู้ประกันตนกว่า 1.2 ล้านคนที่กำลังได้รับเงินสงเคราะห์บุตร (เงินสงเคราะห์รวม 57,600 บาทต่อบุตรหนึ่งคน ในระยะเวลา 6 ปี) ซึ่งคิดเป็นอัตราการเลือกใช้สิทธิประมาณ 5% จากสมาชิกทั้งหมด อย่างไรก็ตาม สวัสดิการระยะยาวเหล่านี้น่าจะจูงใจให้ผู้ประกันตนยังคงส่งเงินสมทบเพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่อไปหรือในอนาคต

ด้านฝ่ายนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า การทดลองนำโครงการ “หนึ่งบัตรรักษาทุกที่” เฟส 2 ภายใต้นโยบายปรับโครงสร้างระบบสุขภาพอย่างรวดเร็วของกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม คาดเห็นผลกระทบต่อโรงพยาบาลประกันสังคมจำกัด

อย่างไรก็ตามฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่า  บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH, บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG และ บริษัท โรงพยาบาลรามคำแหง จำกัด (มหาชน) หรือ RAM ได้รับผลกระทบน้อยมาก เนื่องจากผู้ประกันตนกว่าครึ่งหนึ่งมาจาก ม.33 ไม่สามารถออกจากระบบได้

Back to top button