ORI กวาดยอดขาย “โซ ออริจิ้นฯ” ภูเก็ต Q1 ทะลุ 70% แย้มปีนี้จ่อเปิดโครงใหม่ 3.4 หมื่นล้าน
ORI กวาดยอดขายในภูเก็ตคึกต่อเนื่องไตรมาส 1/2567 “โซ ออริจิ้น บางเทา บีช” ทะลุกว่า 70% ดีไซน์และทำเลตอบโจทย์ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ แย้มทั้งปีเตรียมเปิดโครงการบ้านจัดสรร-คอนโดใหม่ทั่วประเทศ มูลค่า 3.4 หมื่นล้านบาท
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 1/2567 (ม.ค.-มี.ค.2567) บริษัทได้ประเดิมตลาดด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่ในต่างจังหวัด 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2,850 ล้านบาท ได้แก่ 1.โซ ออริจิ้น บางเทา บีช (SO Origin Bangtao Beach) โครงการคอนโดมิเนียมที่เป็นหนึ่งในพื้นที่อาณาจักรมิกซ์ยูส “ออริจิ้น รีสอร์ท เวิล์ด ภูเก็ต | บางเทา บีช” (Origin Resort World Phuket | Bangtao Beach)
2.ดุสิต สวีท เรสซิเดนเซส เขาใหญ่ (Dusit Suites Residences Khao Yai) โครงการ Branded Residences Villa ภายใต้แบรนด์ของกลุ่มดุสิตธานี ในพื้นที่อาณาจักรมิกซ์ยูส “ออริจิ้น รีสอร์ท เวิล์ด | เขาใหญ่” (Origin Resort World | Khao Yai)
โดยเบื้องต้น บริษัทได้รับกระแสตอบรับจากทั้ง 2 โครงการใหม่ในพื้นที่หัวเมืองใหญ่ทั้ง 2 ทำเลอย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะโครงการโซ ออริจิ้น บางเทา บีช ที่มียอดขายสะสมแล้วมากกว่า 70% เนื่องจากตัวโครงการตั้งอยู่บนหาดที่เหมาะสำหรับการพักผ่อน เดินทางไปยังจุดต่างๆ ในภูเก็ตได้สะดวก มีดีไซน์ที่โดดเด่น ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ซื้ออยู่อาศัยเอง ผู้ซื้อลงทุน ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งยังคงได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน ถือเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของเครือออริจิ้นในภูเก็ต ที่ก่อนหน้านี้สามารถปิดการขาย ดิ ออริจิ้น เซ็นเตอร์ ภูเก็ต (The Origin Centre Phuket) ได้ภายใน 6 สัปดาห์ รวมถึงโครงการอื่นในภูเก็ต เช่น ดิ ออริจิ้น กะทู้-ป่าตอง (The Origin Kathu-Patong) ก็ยังได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ แม้จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงไตรมาส 1/2567 เพียง 2 โครงการ แต่ด้วยความร้อนแรงของโซนพื้นที่ภูเก็ต และการตอบรับจากลูกค้าในหลากหลายทำเลที่ทยอยเปิดตัวในช่วงก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ภาพรวมยอดขายของบริษัทในไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ 8,139 ล้านบาท โดยเป็นยอดขายจากธุรกิจคอนโดมิเนียมประมาณ 78% และจากธุรกิจบ้านจัดสรรภายใต้ บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI ประมาณ 22%
นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ในปีนี้ บริษัทยังคงมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั่วประเทศอีก 33 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมประมาณ 34,000 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ORIGIN VERTICAL จำนวน 14 โครงการ
“ไฮไลต์ของฝั่งคอนโดมิเนียมในปีนี้ คือ การเดินหน้าขยายอาณาจักร Origin Pet Family อย่างต่อเนื่อง เพื่อเจาะตลาดกลุ่ม Pet Lover โดยในบางทำเล จะถือเป็นการสร้างปรากฏการณ์คอนโดแห่งแรกที่เลี้ยงสัตว์ได้ในทำเลดังกล่าว ขณะเดียวกัน เรายังคงมุ่งหน้าบุกภูเก็ตและแถบเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ซึ่งเป็น 2 ทำเลที่ยังมีความต้องการสูง และเรายังได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง อาทิ การพัฒนาโครงการออริจิ้น เพลส เซ็นเตอร์ ภูเก็ต เร็วๆ นี้” นายพีระพงศ์ กล่าว
สำหรับโครงการบ้านจัดสรรภายใต้ บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI จะมีเปิดตัวโครงการใหม่อีก 19 โครงการ โดยเน้นการกระจายบุกทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออกของกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นทำเลที่บริษัทมีกระแสตอบรับแข็งแกร่ง โดยบริษัทจะยังคงใช้ทั้งความโดดเด่นด้านทำเล ตลอดจนดีไซน์ที่เข้าใจพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนทุกเจเนอเรชั่น มาตอบโจทย์ผู้บริโภค
สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย
1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 159 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 4/2566) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin), โซ ออริจิ้น (So Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), ออริจิ้น เพลส (Origin Place), ดิ ออริจิ้น (The Origin), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton), ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play), บริกซ์ตัน (Brixton) และ บริทาเนีย (Britania) รวมมูลค่าโครงการกว่า 242,744 ล้านบาท
2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจให้บริการลูกบ้าน ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และ 4.ธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends) กลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจด้านการเงิน ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์ ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร