แนะ 4 หุ้นน่าเก็บ! โบรกชี้กำไร Q1 แกร่ง จับตา SCGP โต 30%
คัด 4 หุ้นเด่น! โบรกคาดกำไรไตรมาส 1/67 โตแกร่งทั้งเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อนและจากไตรมาสก่อน ขณะที่ SCGP ลุ้นโตเกิน 30% แนะซื้อเก็งกำไร ให้ราคาเป้าหมาย 36.50 บาท
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” เฟ้นหาบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ทางนักวิเคราะห์ประเมินไว้ว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2567 จะเติบโตแข็งแกร่งทั้งเมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน
โดยเบื้องต้นพบว่ามี 4 หลักทรัพย์ ได้แก่ BDMS, SCGP, KLINIQ และ BA
บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ทางบล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุว่า คาดกำไรสุทธิงวดไตรมาส 1 ปี 2567 อยู่ที่ 4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.30% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1.20% จากไตรมาสก่อน ทั้งจากการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยต่างชาติและผู้ป่วยไทยเข้ารับการรักษาโรคระบาดเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ คาดรายได้กิจการโรงพยาบาล เพิ่มขึ้น 1.2% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน โดยคาดรายได้จากผู้ป่วยไทยเพิ่มขึ้นราว 10.4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน หลัก ๆ เกิดจาก 2 เดือนแรกของปีนี้มีผู้ป่วยไทยมาเข้ารับการรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ และโรคติดเชื้อไวรัส RSV ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดอาการอักเสบที่เยื่อบุส่วนล่างของทางเดินหายใจคือ เกิดภาวะปอด อักเสบ ซึ่งเกิน 60% เป็นผู้ป่วยเด็ก
ขณะที่คาดรายได้ผู้ป่วยต่างชาติเติบโตถึง 13% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน โดยรายได้ผู้ป่วยต่างชาติที่เติบโตโดดเด่น ได้แก่ จีน เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน, ยุโรปเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน ขณะรายได้ผู้ป่วย CLMV และผู้ป่วยตะวันออกกลางค่อยข้าง ทรงตัวเมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน โดยในกลุ่ม CLMV รายได้ผู้ป่วยพม่าลดลงระดับ single digit เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน จากผลกระทบทางการเมืองใน ประเทศพม่า แต่สามารถชดเชยได้จากรายได้ผู้ป่วยกัมพูชาที่เพิ่มขึ้นระดับ single digit เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน เช่นเดียวกัน ขณะรายได้ ผู้ป่วยตะวันออกกลางที่ทรงตัวเมื่อเทียบงวดเดียวของปีก่อน เกิดจากผลกระทบของช่วงรอมฎอนในปีนี้อยู่ในช่วงเดือนมี.ค.22วัน ขณะปีก่อนอยู่ในช่วงเดือนมี.ค. เพียง 9 วัน
ทั้งนี้ รายได้ผู้ป่วยในประเทศแถบตะวันออกกลางที่ยังเติบโตมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน อันดับ 1 คือ ผู้ป่วยจาก U.A.E. 2) กาตาร์ และ 3) ซาอุดิอาระเบีย ส่วนรายได้ผู้ป่วยตะวันกลางที่ลดลงมากสุด คือ คูเวต แต่เนื่องจากสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยคูเวตที่เป็น 0.7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน จึงยังไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยยะ ทั้งนี้ประสิทธิภาพการทำกำไรไตรมาส 1 ปี 2567 ยังใกล้เคียงไตรมาส 4 ปี 2566 แต่ดีขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 2566จากการเติบโตของผู้ป่วยต่างชาติที่เข้ามา รักษาโรคยากมากขึ้น แนะนำ “ซื้อลงทุน” ประเมินมูลค่าพื้นฐาน 36 บาท
บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ทางบล.ทรีนีตี้ ระบุ คาดบริษัทฯ จะรายง่านกำไรไตรมาส 1 ปี 2567 ออกมาโดดเด่นที่ 1.60 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 29% จากไตรมาสก่อน ซึ่งมาจากทั้งธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร และธุรกิจเยื่อและกระดาษ ที่ดีขึ้นจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากความต้องการที่เริ่มฟื้นตัว
1.คาดกลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบวงจรจะมี EBITDA เพิ่มขึ้นมาเป็น 3.80 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาสก่อน โดยเป็นเป็นจาก Demand ที่กลับมาแข็งแกร่งเกือบในทุกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ที่ได้รับผลดีจากท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวส่งผลให้บรรจุภัณฑ์ที่เกี่ยวกับอาหารเติบโต
นอกจากนี้สินค้ากลุ่มประเภทส่งออกทั้งอาหารแช่แข็ง และอาหารสัตว์เลี้ยงมีการมีการเติบโต ในขณะที่กลุ่มสินค้าคงทนที่ก่อนหน้ามีการชะลอตัวเริ่มกลับมาเห็นสัญญาณการฟื้นตัวจากเงินเฟ้อที่ลดลง
2.คาดธุรกิจเยื่อกระดาษจะมี EBITDA ที่ 1.10 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 12% จากไตรมาสก่อน โดยจากราคาขายเยื้อกระดาษที่ปรับเพิ่มขึ้นจากผลกระทบ Supply และ Inventory ของเยื้อกระดาษอยู่ในระดับที่ต่ำ แม้ว่าต้นทุนกระดาษ Recycle จะปรับสูงเพิ่มขึ้น แต่บริษัทมี Supply chain ที่เป็น Domestic จึงมีข้อได้เปรียบเรื่องต้นทุนที่ต่ำกว่าการนำเข้า ส่งผลให้คาดว่า EBITDA Margin จะขยายตัวมาเป็น 17.50% จากไตรมาส 1 ปี 2566 ที่ 14% และไตรมาส4 ปี 2566 ที่ 16.70%
ทั้งนี้คงประมาณการกำไรปี 2567 ที่ 5.80 พันล้านบาท แต่อาจจะมี upside จาก demand ที่ฟื้นตัวเร็วกว่าคาด คงคำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 36.50 บาท
บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ ทางบล.โกลเบล็ก จำกัด ระบุ โดยคาดรายได้งวดไตรมาส 1 ปี 2567 เติบโตจากไตรมาสก่อน และเมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน ซึ่งรายได้จากการขาย และบริการ จะเติบโตจากยอดขายของสาขาเดิม และจากการเปิดสาขาใหม่ สำหรับศูนย์ ศัลยกรรมยังมีการเติบโตต่อเนื่อง โดยบริษัทมีแผนเปิ ดสาขาในงวดไตรมาส 1 ปี 2567 จำนวน 10 สาขา ช่วง 2 เดือนแรกของปี 2567 เปิดไปแล้ว 8 สาขาแบ่งเป็นแบรนด์ The KLINIQUE จำนวน 5 สาขา แบรนด์ L.A.B.X 3 สาขา
ขณะที่ทั้งปี 2567 คงคาดการณ์รายได้ จำนวน 3.05 พันล้านบาท เติบโต 33%เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน (สอดคล้องกับที่บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ที่ 3.00 พันล้านบาท) ขณะที่ในปี 2564-2573 คาดอุตสาหกรรมเติบโตเฉลี่ย (CAGR)10% ต่อปี เติบโตมากกว่าอุตสาหกรรม มาจากการเติบโตของยอดขาย สาขาเดิมที่มีจำนวน 55 สาขา และการเติบโตจากการเปิดสาขาใหม่จำนวน 20 สาขา (เดิมบริษัทตั้งเป้าหมายเปิด 15 สาขา) แบ่งเป็นแบรนด์ THE KLINIQUE 10 สาขา
และ L.A.B.X 10 สาขา ประกอบกับการเติบโตของรายได้ศูนย์ศัลยกรรม ที่มีความโดดเด่นเรื่องการทำหน้าอก และการทำจมูก รวมถึงการให้บริการ ศัลยกรรมใหม่ๆเพิ่มเติม เช่น ยุบโหนก ตัดกราม (Bone Surgery) ดึงหน้า ปลูก ผม และเมื่อปลายปี 66 บริษัทได้เปิดแบรนด์ใหม่ ชื่อ L’CLINIC เป็น segment รองลงมาจากแบรนด์ L.A.B.X เนื่องจากบริษัทเล็งเห็นว่าตลาดมีการเติบโต ส่งผลให้คาดกำไรสุทธิ 365 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน ทำระดับสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 67 เท่ากับ 46.50 บาท
บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA ทางบล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุ คาดกำไรปกติไตรมาส 1 ปี 2567 จะโต 10-20% เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็น 0.90-1.00 พันล้านบาท โดยมองว่ามี 3 ปัจจัยบวกที่อาจทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นในปีนี้ ข้อแรกจากข้อมูลของ CAAT ปริมาณ ผู้โดยสารที่สนามบินสมุยเพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และสูงกว่าระดับก่อนโควิด 10% ในไตรมาส 1 ปี 2567 สมุยเป็นหนึ่งในสนามบินที่ฟื้นตัวเร็วที่สุดเมื่อเทียบกับสนามบิน 6 แห่งของ AOT ซึ่งยังมีตัวเลข ผู้โดยสารต่ำกว่าระดับก่อนโควิดอยู่ 17-19% ในช่วงเวลาเดียวกัน ด้วยเหตุดังกล่าวจึงคาดว่าปริมาณผู้โดยสารของ BA จะโต 15-20% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน เป็น 1.25-1.30 ล้านพร้อม Load factor ที่ 87- 88% (เทียบกับ 87% ในไตรมาส 1 ปี 2567) คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 22.00 บาท