4 โบรกเชียร์ “ซื้อ” TERA เป้าสูงสุด 2.70 บาท ชี้กำไร 3 ปี โตเฉลี่ย 21%
4 โบรกประสานเสียงเชียร์ “ซื้อ” TERA ไอพีโอน้องใหม่ พร้อมให้ราคาเป้าหมาย 2.20-2.70 บาท ด้านบล.บียอนด์ ชี้กำไร 3 ปี 66-68 เติบโตเฉลี่ย 21% มั่นใจพื้นฐานธุรกิจ “IT Solution Provider” แกร่ง พร้อมเข้าเทรด mai วันที่ 24 เม.ย.นี้
บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท เทอร์ราไบท์ พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ TERA ประเมินกำไรสุทธิในช่วงปี 2566-2568 (CAGR) อยู่ที่ 21% เพิ่มขึ้นจาก 26 ล้านบาทในปี 2565 เป็น 46 ล้านบาทในปี 2568
โดยมีปัจจัยหลัก คือ 1.การขยายตัวของการให้บริการระบบ T.Cloud ซึ่งในปัจจุบันมีสัญญาลูกค้ามากกว่า 100 สัญญา อัตราการรักษาลูกค้าเก่าสูงถึงประมาณ 94% 2.ขยายกลุ่มลูกค้าจากซอฟต์แวร์ Skyfrog และ 3.การเติบโตของอุปกรณ์ไอที
ทั้งนี้ ฝ่ายนักวิเคราะห์กำหนดราคาเหมาะสมอยู่ที่ 2.70 บาทต่อหุ้น พร้อมทั้งเชื่อว่าหลังจากเพิ่มทุน IPO บริษัทจะเน้นสร้างรายได้ประจำเพิ่มมากขึ้น โดยเน้นขยายงานให้บริการด้านบริการระบบ Cloud (T.Cloud) Services ที่กำลังจะพัฒนาไปยัง Gen3
บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า แผนการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของ TERA ว่าจะช่วยเพิ่มความสามารถการทำกำไร และคาดการณ์กำไรต่อหุ้นช่วงปี 2566-2568 เติบโตในอัตราเฉลี่ย 26.8% ต่อปี โดยกลยุทธ์การเติบโตหลักที่ TERA มุ่งเน้นในช่วงที่ผ่านมา คือ การสร้างรายได้ที่มั่นคงด้วยรายได้ประจำสม่ำเสมอ หรือ Recurring Incomeซึ่งมีแผนเติบโตจาก 1.การเติบโตภายใน (Organic Growth) อย่างการพัฒนา Cloud Gen3 เพื่อรองรับการเติบโตของฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้น การต่อสัญญาซ้ำของลูกค้ามากกว่า 94%
อีกทั้ง มีธุรกิจให้บริการซอฟต์แวร์สำหรับโลจิสติกส์อย่าง Skyfrog ช่วยหนุนการเติบโตในอนาคต และ 2.การเติบโตจากภายนอก (Inorganic Growth) บริษัทมีแผนที่จะใช้เงินระดมทุนเพื่อขยายการลงทุนไปยังธุรกิจ SMEs ในกลุ่มไอทีที่มีศักยภาพ และมีโมเดลธุรกิจแบบรายได้ประจำสม่ำเสมอเป็นส่วนใหญ่ เน้นความมั่นคงของการสร้างรายได้ไปพร้อมกับการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ประเมินราคาเหมาะสมอยู่ที่ 2.60 บาทต่อหุ้น โดยอิงประมาณการในปี 2567 อยู่ที่ 0.15 บาท บนค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 5 ปี คาดการณ์ว่าจะมีกำไรสุทธิสำหรับปี 2566–2568 อยู่ที่ 26.8%
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ประเมินมูลค่าพื้นฐานของ TERA ปี 2567 อยู่ที่ 2.20 บาท โดยมีจุดเด่นให้บริการ ICT Solution ครอบคลุมทั้ง Hardware และ Software System รวมทั้งเป็นพันธมิตรระดับ Platinum Partner กับ HPE ประกอบกับมีสัดส่วนรายได้ต่อเนื่องสูงเฉลี่ยต่อปีราว 45-50% และฐานะการเงินที่มั่นคงมีโอกาสได้รับงานเพิ่มเติม ซึ่งคาดการณ์กำไรสุทธิช่วง 3 ปี (2566-2568) เติบโตเฉลี่ย 12%
บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ประเมินมูลค่าเหมาะสมปี 2567 อยู่ที่ 2.20 บาท คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2566-2568 เติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย 3 ปี ที่ 28.8% ซึ่งหนุนจากทั้งรายได้จากการขายและรายได้และจากการให้บริการที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ มุมมองบทวิเคราะห์ 4 แห่ง ประเมินภาพรวมการเติบโตของ TERA ไปในทิศทางเดียวกันว่ามีพื้นฐานแข็งแกร่ง จากผลประกอบการของบริษัทที่ผ่านมา รวมถึงความโดดเด่นในการดำเนินธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตไปพร้อมๆ กับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในปัจจุบันที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด
ขณะที่อาจทำให้ TERA มีโอกาสนำเสนอโซลูชั่นทางเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์มาตรฐานตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นด้านการพัฒนาระบบประมวลฐานข้อมูลขนาดใหญ่ และระบบการจัดเก็บข้อมูลที่มีคุณภาพ
นอกจากนี้ ยังรวมถึงการป้องกันภัยคุกคามทางด้านไซเบอร์เน้นสร้างรายได้ประจำเพิ่มมากขึ้น โดยเน้นขยายงานให้บริการด้านบริการระบบ Cloud Services (T.Cloud) ซึ่ง TERA ได้ให้บริการ Gen1 และ Gen2 มาแล้วมากกว่า 7 ปี ที่กำลังจะพัฒนาไปยัง Gen3 ซึ่งส่งผลเชิงบวกต่อการเติบโตของรายได้ TERA ส่งผลให้นักวิเคราะห์ประเมินกรอบราคาเป้าหมายเหมาะสม ระหว่าง 2.20 – 2.70 บาทต่อหุ้น และ TERA พร้อมเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในวันที่ 24 เมษายน 2567