“คริปโตมายด์” แนะจับตา “Bitcoin Halving” ดันราคาบิตคอยน์พุ่ง

“คริปโตมายด์” แนะนำจับตาปรากฎการณ์ “Bitcoin Halving” ครั้งที่ 4 วันที่ 20 เม.ย.นี้ ส่งผลให้ราคาบิตคอยน์ปรับตัวขึ้นแรง รับกองทุน Spot ETF ดึงเม็ดเงินไหลเข้า


บริษัท คริปโตมายด์ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จํากัด (Cryptomind) ระบุว่า “Bitcoin Halving” เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติในโลกของ Bitcoin กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า โดยคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นวันที่ 20 เมษายน 2567 เวลาประมาณตี 3 โดยวันและเวลาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับความเร็วในการปิด Block บน Bitcoin Blockchain และแน่นอนว่าสิ่งที่หลายคนสนใจคงไม่ใช่เรื่องในเชิงเทคนิค แต่เป็นเรื่องของผลกระทบในเชิงราคาว่า เหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลต่อราคาของ Bitcoin ได้มากน้อยขนาดไหนและมีโอกาสจะเห็นตลาดกลับมาเป็นขาขึ้นเต็มตัวแบบ Cycle ก่อน ๆ ได้หรือไม่

โดยฝ่ายวิเคราะห์ Cryptomind จึงขอให้รายละเอียดของ Bitcoin Halving ว่า Bitcoin Halving คือเหตุการณ์ที่จำนวนรางวัลจากการขุด Bitcoin ใหม่จะลดลงครึ่งหนึ่งทุก ๆ 4 ปี เหตุการณ์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อควบคุมอุปทานของ Bitcoin ให้มีจำนวนจำกัดเพียง 21 ล้านเหรียญเท่านั้น

ส่วน Source Code ของ Bitcoin ถูกกำหนดให้รางวัลในส่วนของ Block Subsidy ที่ Miner จะได้รับในช่วงแรกไว้ที่ 50 BTC ต่อ Block และจะมีสิ่งที่เรียกว่า “Bitcoin Halving” หรือการลดจำนวน Block Subsidy ลง “ครึ่งหนึ่ง” ทุก ๆ 210,000 Block โดยแต่ละ Block จะใช้เวลายืนยันธุรกรรมโดยเฉลี่ยประมาณ 10 นาที ดังนั้นจึงเป็นที่มาว่าทำไม Bitcoin Halving จะเกิดขึ้นทุก ๆ ประมาณ 4 ปี ซึ่งหากนับตั้งแต่ที่ Bitcoin เกิดขึ้นมาได้เกิด Bitcoin Halving มาแล้วทั้งหมด 3 ครั้ง ได้แก่

ครั้งที่ 1 : เกิดขึ้นเมื่อ 28 พฤศจิกายน 2555 โดย Block Subsidy ลดลงจาก 50 BTC เป็น 25 BTC

ครั้งที่ 2 : เกิดขึ้นเมื่อ 9 กรกฎาคม 2559 โดย Block Subsidy ลดลงจาก 25 BTC เป็น 12.5 BTC

ครั้งที่ 3 : เกิดขึ้นเมื่อ 28 พฤษภาคม 2563 โดย Block Subsidy ลดลงจาก 12.5 BTC เป็น 6.25 BTC

และครั้งที่กำลังจะมาถึงในวันพรุ่งนี้ (20 เม.ย. 67) จะเป็นครั้งที่ 4 ที่ Block Subsidy จะลดลงจาก 6.25 BTC เป็น 3.125 BTC

โดยหากนำตัวเลขทั้งหมดข้างต้นมาคำนวณแล้วนำมาสร้างกราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง Block Subsidy (เส้นสีแดง) และ จำนวน Bitcoin ในระบบ (BTC Circulating Supply) เทียบกับเวลา จะเห็นได้ว่าในช่วงแรกปริมาณ Bitcoin ที่เพิ่มเข้ามาในระบบนั้นสูงมากแต่ก็จะค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ เมื่อเกิด Bitcoin Halving และถ้าคำนวณไปเรื่อย ๆ ตาม Code จน Invalid ก็จะทำให้ Bitcoin ไม่สามารถถูกผลิตเพิ่มขึ้นมาได้อีก ซึ่งตัวเลขสุดท้ายที่ได้เมื่อ Code ถูกรันไปจนสุดแล้วก็คือประมาณ 21,000,000 จึงเป็นที่มาของที่ว่าทำไม Bitcoin ไม่สามารถมีปริมาณเกิน 21,000,000 BTC ได้นั่นเอง และที่สำคัญระยะเวลากว่า BTC จะถูกขุดครบก็คือปี 2140 หรืออีกประมาณ 116 ปีข้างหน้า

ขณะที่ฝ่ายวิเคราะห์จัดทำบทความนี้ จำนวน Bitcoin ได้ถูกผลิตออกมาเป็นจำนวนกว่า 19,685,375 BTC หรือคิดเป็นประมาณ 93.7% เรียบร้อยแล้ว และเมื่อเกิด Bitcoin Halving ครั้งที่ 4 ที่ Block Subsidy จะลดลงเหลือ 3.125 BTC จะทำให้สามารถคำนวณได้ว่าในระยะเวลาประมาณ 4 ปีก่อนเกิด Bitcoin Halving ครั้งถัดไปจะมี Bitcoin ถูกผลิตออกมาใหม่อีกประมาณ 657,000 BTC หรืออีกประมาณ 3.13% เท่านั้น (ปีละ 0.7825% ของ Max Supply)

การเคลื่อนไหวของราคา Bitcoin หลัง Bitcoin Halving แต่ละครั้ง

สำหรับเหตุผลที่หลายคนรอคอยและจับตามอง Bitcoin Halving นั้นก็เพราะหากมองกลับไปดูการเคลื่อนไหวของราคา BTC หลังจากการเกิด Bitcoin Halving แล้วก็จะเห็นการเพิ่มขึ้นของราคาอย่างบ้าคลั่งซึ่งสามารถดึงดูดความสนใจนักลงทุนได้อย่างดี

โดยดูจากกราฟด้านบน แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมราคาภายหลัง Bitcoin Halving ทั้ง 3 ครั้ง ที่หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวมักจะตามมาด้วยการปรับตัวขึ้นของราคาอย่างรุนแรง โดยหากพิจารณาราคาจากวันที่เกิด Bitcoin Halving แต่ละครั้งเทียบกับราคา All time high ในแต่ละ Cycle จะเห็นว่ามีการปรับตัวด้านราคาดังนี้

ครั้งที่ 1 Bitcoin Halving : ราคาปรับตัวขึ้นประมาณ 9,600%

ครั้งที่ 2 Bitcoin Halving : ราคาปรับตัวขึ้นประมาณ 2,856%

ครั้งที่ 3 Bitcoin Halving : ราคาปรับตัวขึ้นประมาณ 687%

 

หากนับจากจุดต่ำสุดของแต่ละรอบที่มักจะเกิดก่อน Bitcoin Halving นั้นก็จะได้ตัวเลขที่น่าตกใจมากกว่านี้หลายเท่า อย่างไรก็ตามจากสถิติข้างต้นนั้นเป็นตัวอย่างเพียง 3 ครั้งเท่านั้นซึ่งถือว่าค่อนข้างน้อยในเชิงสถิติ ทำให้หลัง Bitcoin Halving นี้อาจเกิดเหตุการณ์ที่แตกต่างจากเดิมได้ ไม่ว่าจะเป็นทางบวกหรือทางลบ

รวมถึงสิ่งที่สำคัญราคาของ Bitcoin ไม่ได้ปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงภายหลัง Bitcoin Halving ทันทีโดยถ้าพิจารณา Halving ครั้งที่ 2 และ 3 แล้ว กว่าราคาจะกลับไปทำ All time high ได้ก็ใช้เวลา 231 วันและ 196 วันตามลำดับโดยระหว่างนั้นราคาเป็นการเคลื่อนไหวแบบ Sideway up แต่สำหรับ Halving ครั้งที่ 4 ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ ราคาของ Bitcoin ได้ปรับตัวขึ้นทำ All time high ไปก่อนแล้วทำให้เป็นสิ่งที่น่าจับตาดูอย่างมากว่า Cycle นี้จะแตกต่างจาก Cycle ก่อน ๆ มากน้อยแค่ไหน สาเหตุเพราะมีหลายปัจจัยที่แตกต่างจาก Cycle ก่อน ๆ อยู่พอสมควรโดยเฉพาะเรื่องของ Spot ETF ที่เป็นสะพานเชื่อมเม็ดเงินมหาศาลเข้ามาสู่ Bitcoin ได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น

วิเคราะห์ภาวะตลาดหลังการเกิด Bitcoin Halving

โดยหลายคนอาจจะพูดถึงในเชิงที่ผลกระทบจาก Halving ไม่ได้ส่งผลอะไรมากขนาดนั้นเพราะในปัจจุบันปริมาณ Bitcoin ในระบบ (Circulating Supply) มีอยู่เกือบ 94% เรียบร้อยแล้วและในเชิงตัวเลขที่ลดลงไม่ได้ดูเยอะเหมือนกับ Halving รอบก่อน ๆ ที่ลด Block Subsidy อย่างมีนัยสำคัญอย่างเช่น Halving ครั้งแรกที่ลดจาก 50 BTC เหลือ 25 BTC ที่ทำให้ดูหายากขึ้นกว่าแบบมาก ๆ แต่ใน Halving รอบที่ 4 นี้ลดจาก 6.25 BTC เหลือ 3.125 BTC เท่านั้น

ด้านทีมนักวิเคราะห์ Cryptomind จึงมองว่าในจุดนี้สามารถมองได้อีกมุมหนึ่งคือความเข้าใจและความต้องการใน Bitcoin เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งแสดงให้เห็นจากการเติบโตมาตลอด 15 ปีที่มูลค่าตลาดสูงขึ้นมาตลอด ด้วยเหตุนี้เองการที่ Supply ของ Bitcoin อยู่ในจุดที่ค่อนข้างคงที่แล้วแต่ความต้องการ (Demand) ในเชิงมูลค่ากลับมากขึ้นตามในสัดส่วนที่สัมพันธ์กันก็จะสามารถทำให้ราคาค่อย ๆ ขยับขึ้นได้อยู่ดี แต่ต้องใช้เวลาและปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน โดยใน Cycle นี้มีปัจจัยบวกหลายอย่างที่ส่งเสริมดังนี้

1. Bitcoin Spot ETF เป็นตัวแปรหลักที่จะทำให้ Demand มากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา เหมือนเป็นสะพานเชื่อมเม็ดเงินในตลาด Traditional ให้เข้าถึง Exposure ใน Bitcoin ได้สะดวกและง่ายมากขึ้น เพราะง่ายต่อการทำบัญชี ทำภาษี มากกว่าการถือ Bitcoin เองโดยตรง โดยถ้าลองประเมินเม็ดเงินที่จะเข้ามาแล้ว ตลาด Global Equity ตลาดพันธบัตร ตลาดทองคำ รวมกันแล้วก็เป็นมูลค่าหลายร้อยล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ การที่นักลงทุนหรือกองทุนจะ Allocate เงินทุนส่วนหนึ่งเพียงเล็กน้อยแค่ 1% เข้ามาใน Bitcoin ก็มากกว่า Market Cap ของ Bitcoin ปัจจุบันแล้ว ซึ่งถ้ามีเม็ดเงินไหลเข้ามามากกว่าที่คาดก็อาจทำให้ Cycle นี้ใหญ่กว่าที่หลายคนคิด

2. แม้ว่า Bitcoin จะมี Circulating Supply กว่า 94% แล้วแต่จากข้อมูลของทาง Coinglass ที่รวม Bitcoin ที่มีให้ซื้อขายใน Exchange ต่าง ๆ ทั่วโลกนั้นเหลือแค่ 1.73M BTC หรือ 8.8% ของ Circulating Supply เท่านั้น ซึ่งถ้า Demand ทะลักเข้ามาสู่ Bitcoin ก็จะทำให้มีโอกาสเกิด Supply Shock และทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นได้

3. อัตราการเกิดใหม่ของ Bitcoin ต่อวันหลัง Halving ครั้งที่ 4 จะอยู่ที่ประมาณ 450 BTC คิดเป็นมูลค่าประมาณ 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐและคาดว่า Miner บางส่วนจะไม่ได้นำมาเทขายทั้งหมด ทำให้แรงเทขายต่อวันจาก Miner อาจน้อยกว่า 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประกอบกับปริมาณเงินไหล Bitcoin เข้าผ่าน Bitcoin ETF ในช่วง 3 เดือนครึ่งที่ผ่านมาก็มีเม็ดเงินไหลเข้ามาแล้วรวมมากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือคิดเฉลี่ยแล้วเป็นมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์ต่อวัน ซึ่งมากพอที่จะซับแรงขายได้สบายที่พูดมาทั้งหมดนี้เป็นช่วงที่ Bitcoin Halving ยังไม่ได้เกิด

ประกอบกับนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐยังไม่ผ่อนคลาย อีกทั้งยังมีเรื่องสงครามและความไม่สงบต่าง ๆ เข้ามาประกอบกันด้วย ซึ่งถ้าทุกอย่างเริ่มคลี่คลายและผ่อนคลายมากขึ้น ตลาดเริ่มกลับมาเปิดความเสี่ยง (Risk On) มากกว่านี้ ส่งผลให้ฝ่ายวิเคราะห์ Cryptomind คาดการณ์ว่าจะได้เห็นเม็ดเงินไหลเข้ามาที่ Bitcoin ได้อีกมากไม่ว่าจะผ่าน Spot ETF หรือเข้าผ่าน Centralized Exchange โดยตรงและทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นได้ แต่ในระยะสั้นอาจมีการปรับตัวลงได้เนื่องจากความไม่แน่นอนต่าง ๆ ดังกล่าวและที่สำคัญในช่วงที่ผ่านมาราคาของ Bitcoin ก็ขึ้นมาเยอะพอสมควรแล้ว ถ้าจะมีการปรับฐานบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

สำหรับมุมมองในระยะสั้น BTC ได้มีการปิดแท่งแดงลงมาใต้กรอบ Triangle ประกอบกับ RSI ที่ทำ Lower High อย่างต่อเนื่องเป็นเครื่องบ่งบอกได้ว่า Momentum ของ BTC นั้นอ่อนแรงลงและอาจจะย่อตัวในระยะสั้นได้ สิ่งที่น่าจับตามองคือ แนวรับที่ 60,000 เหรียญ ซึ่งเป็นแนวรับทางจิตวิทยาที่ถ้าหากหลุดลงไปอีกก็อาจจะลงไปทดสอบแนวรับที่ 52,000 เหรียญได้ แต่ถ้าราคายังรักษาตัวอยู่ในกรอบระหว่าง 60,000-73,777 เหรียญได้ ก็อาจเป็นการแกว่งตัวผันผวนในรกอบ (Sideway) ไปอีกสักพักเพื่อรอเลือกทาง ส่วนระยะยาวยังคงมองบวกเหมือนเดิมดังเหตุผลที่กล่าวไปข้างต้น

Back to top button