“กรภัทร”แนะหุ้นหลบภัย! ตามระดับความรุนแรง “สงครามตะวันออกกลาง”

“กรภัทร” แนะหุ้นหลบภัย! ตาม 3 สถานการณ์ระดับความรุนแรง “สงครามตะวันออกกลาง” ชูหุ้นกลุ่มบริโภคและบริการ, กลุ่มพลังงานต้นน้ำ และหุ้นพื้นฐานดี


ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (19.เม.ย.67) สืบเนื่องจากภาคช่วงเช้า มีการรายงานข่าวเกิดเหตุระเบิดขนาดใหญ่ในพื้นที่กรุง Isfahan ประเทศอิหร่าน พร้อมระบบเตือนภัยทำงานทั่วทั้งประเทศ โดยสำนักข่าวหลายแห่ง ระบุว่าอาจจะเป็นการโจมตีโดย อิสราเอล เพื่อตอบโต้จากเหตุการณ์สู้รบเมื่อสัปดาห์ก่อน ทั้งนี้ทางกองทัพอิสราเอลไม่ได้ให้ความเห็นใดๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว

ขณะที่ ฟากฝั่งอิหร่าน ระบุว่า เสียงระเบิดที่ดังขึ้นเกิดจากการสกัดวัตถุต้องสงสัยที่เคลื่อนเข้ามาใกล้พื้นที่ภายในประเทศ พร้อมแจ้งว่าระบบการเตือนภัยทางอากาศที่ทำงานทั่วประเทศในช่วงเช้า เกิดจากการเปิดใช้งานของอิหร่านเอง ยืนยันไม่ได้ตรวจพบการโจมตีด้วยจรวดมิสไซส์ใดๆ

ด้าน นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) หรือ KCS กล่าวว่าจากสถานการณ์ความตึงเครียดตะวันออกกลางระหว่างอิหร่านและอิสราเอล ว่ามีความผันผวนสูงจากช่วงเช้าเกิดเหตุระเบิดรุนแรงส่งผลเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ราคาน้ำมันดิบ WTI และราคาทองคำขึ้นแรง หลังตลาดกังวลว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการลงมือโจมตีของอิสราเอล และอาจจะส่งผลต่อภาวะสงครามตอบโต้ไปมาที่อาจยืดเยื้อเพิ่มมากขึ้น

โดยจากสถานการณ์ดังกล่าวช่วงเที่ยงวันนี้ 19 เม.ย. 67 ราคาน้ำมันดิบ WTI และทองคำได้ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ทีมกลยุทธ์ KCS จึงประเมินความเสี่ยง 3 สถานการณ์ คือ 1.ในกรณีสถานการณ์เป็นไปอย่างปกติที่ควรจะเป็น (Base Case) ให้น้ำหนัก 60% ที่สงครามยืดเยื้อแต่ไม่รุนแรง โดยมอง SET Index กรอบแนวรับที่ 1,340-1,300 จุด น่าจะประคองอยู่ (อิงค่า PER 14.3-14 เท่า) ส่วนแนวต้านให้กรอบ 1,365-1,380 จุด จนกว่าสถานการณ์จะคลาย Upside จะกว้างขึ้น

ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำหุ้นกลุ่มบริโภคและบริการ อาทิ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC, บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT, บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT, บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP, บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC, บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL, บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP

อีกทั้ง ได้ประเมินสถานการณ์สงครามสำหรับการเลือกลงทุนเพิ่มเติม คือ 2.กรณีที่เลวร้ายที่สุด (Worst Case) ประเมินความเสี่ยงในเบื้องต้นที่น้ำหนัก 10% ที่สงครามขยายวงกว้างสู่ระดับภูมิภาค (ประเทศพันธมิตรของทั้ง 2 ฝั่งเข้าร่วมรบ) โดยคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ WTI อาจทะลุ 100 เหรียญต่อบาร์เรล

ขณะที่ มอง SET Index มีโอกาสปรับฐานแนวรับสำคัญที่ 1,210 จุด (ใกล้ต่ำสุด Low ปี 2557 และอิงค่า PER 2567 อยู่ที่ 13 เท่า ลดลงจากปัจจุบันไปอีก ลดลง 1.5 เท่า) ส่วนกลยุทธ์ลงทุนแนะนำกลุ่มพลังงานต้นน้ำที่จะได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น อาทิ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT, บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP, บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC ทั้งนี้ ฝ่ายนักวิเคราะห์แนะเน้นลงทุน PTTEP และ TOP เป็นพิเศษ

นอกจากนี้ ยังประเมินแนวทางสุดท้าย คือ 3.กรณีที่ดีสุด (Best Case) ความเสี่ยงในเบื้องต้นที่น้ำหนัก 30% หากสงครามจบรวดเร็วไม่ขยายวงกว้าง คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับลงต่ำที่ระดับ 83.6 เหรียญต่อบาร์เรล ขณะที่ SET Index มีโอกาสฟื้นตัวขึ้นเหนือแนวต้าน 1,400 จุด ได้ไวใน 1 สัปดาห์ พร้อมคงแนะลงทุนหุ้นที่มีโอกาสปรับตัวลงแรงพร้อมพื้นฐานดีจากปัจจัยได้รับผลประโยชน์น้ำมันลง อาทิ บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV, บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA, บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC , BJC, ICHI, CPAL, CPAXT, AOT, OSP, GPSC, IVL และ SCGP

Back to top button