“บล.เอเซีย พลัส” มอง SET ไตรมาส 2 ทดสอบ 1,450 จุด แนะเก็บ 7 หุ้น ทยอยฟื้นตามเศรษฐกิจ
“บล.เอเซีย พลัส” มอง SET ไตรมาส 2/67 ทดสอบ 1,450 จุด หลังจากดัชนีแกว่งตัวบริเวณ 1,350 จุด ถือเป็นจังหวะ “ซื้อสะสม” CK-SCCC-MTC-BJC-KBANK-PTTGC-BGRIM ทยอยฟื้นตามภาวะเศรษฐกิจฟื้น-กำไรเติบโตแกร่ง
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่าในช่วงไตรมาส 2/2567 ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสผ่านพ้นจุดต่ำสุด โดยมอง SET ไตรมาส 2 อยู่ที่ระดับ 1,350 จุด ซึ่งเป็นจังหวะควรทยอยซื้อ หรืออาจจะมีการฟื้นกลับมายืนเหนืออยู่ที่ระดับ 1,450 จุด โดยมีค่า PER ในปี 2567 อยู่ที่ 16.6 เท่า (-1SD ในรอบ 10 ปี) และเป็นระดับต่ำสุดรองจากช่วงวิกฤตโควิดปี 2563 ขณะที่ในเชิง PBV มีค่าที่ 1.31 เท่า (-2SD ในรอบ 10 ปี) และประเมิน SET ทั้งปี 2567 อยู่ที่ระดับ 1,570-1,580 จุด
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ณ SET แกว่งตัวบริเวณ 1,350 จุด มี Valuation ที่น่าสนใจ แนะนำหุ้นทยอยฟื้นตามเศรษฐกิจอย่างหุ้นวัสดุก่อสร้าง หรือหุ้นในนิคม รวมถึงหุ้นที่สามารถทำกำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตแข็งแกร่งโดยมีมุมมองบอกต่อหุ้น บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK, บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ SCCC, บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC, บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC, ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)หรือ KBANK
ขณะที่หุ้นกำไรไตรมาส 2/2567 เด่น คือ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC, บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM
ทั้งนี้ประเมินตลาดหุ้นไทยมีความน่าลงทุนมากขึ้น ในเรื่องของกำไรบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 1/2567 ที่มีโอกาสเติบโตแข็งแกร่ง พร้อมกับมีอัตรากำไรแลกเปลี่ยนหนุน จากฐานกำไรงวดไตรมาส 4/2566 ที่ต่ำกว่าปกติ พร้อมกับมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหนุน หลังค่าเงินบาทอ่อนค่าแรงกว่า 7% ในช่วงไตรมาสที่ 1 ซึ่งหุ้นที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่ามีสัดส่วน Market Cap กว่า 40% รวมถึงราคาน้ำมันดิบโลกปรับขึ้นแรงเกิน 15% จากไตรมาสก่อนหน้าหนุนให้เกิด Stock Gain ในหุ้น Commodity ที่มีสัดส่วนหลักในตลาด
นอกจากนี้ยังมีการสร้างความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพของตลาดหุ้นไทย คอยหนุนปริมาณการซื้อขายจะค่อยๆ กลับมา หลังทางการเพิ่มชั่วโมงซื้อขายจาก 4 ชั่วโมงครึ่งต่อวัน เป็น 5 ชั่วโมงต่อวัน และมีมาตรการในการกำกับดูแลตรวจสอบ Short Selling, Program Trading คาดเริ่มมีผลบังคับใช้ช่วงไตรมาส 2/2567 หนุน Turnover ของ SET มีโอกาสกลับมาสูงกว่า 70% ต่อปี
อีกทั้งเริ่มเห็นหลายปัจจัยช่วยพยุงเศรษฐกิจอย่าง นโยบายการคลังที่เข้มข้นผ่านการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ภายในช่วงเวลาเพียง 5-6 เดือน ด้วยมูลค่า 3.48 ล้านล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 9.3% ซึ่งคาดการณ์ GDP GROWTH ของประเทศไทยเติบโตอยู่ที่ 2.6-2.8% หากงบประมาณสามารถเบิกจ่ายได้ก่อนเดือนพฤษภาคม 2567 และจะต้องมีงบที่จ่ายลงทุนอย่างน้อย 20%
รวมถึงมาตรการกระตุ้นต่างๆ ของภาครัฐ ทั้งการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท, ฟรีค่าธรรมเนียม VISA สำหรับนักท่องเที่ยว และการแจกเงิน Digital 10,000 บาท ในระยะถัดไป ส่วนเงินกองทุนระหว่างประเทศแข็งแกร่ง ส่งผลให้เงินสะพัดต่อเนื่อง
ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศ มองแนวโน้มสงครามตะวันออกกลางอาจไม่ได้ทวีความรุนแรง ซึ่งมีการยับยั้งชั่งใจของคู่กรณี อาจจะไม่ได้ถึงขยายวงกว้าง แต่หากมีการขยายวงกว้างขึ้นมา จะส่งผลให้ราคาพลังงานปรับตัวขึ้น ผลักดันเงินเฟ้อไม่ปรับตัวลดลงอย่างไรก็ตาม ยังคงคาดหวังการใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น แม้ทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ อาจจะคงไว้ 5.5% ยาวนานขึ้น หลังเงินเฟ้อสูงกว่าคาด แต่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงน่าจะเริ่มเห็นได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้
ด้านนางสาวลัพธ์พร ปานะกุล ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ตลาดรอง คาดว่าตลาดตราสารหนี้ในช่วงสามไตรมาสที่เหลือของปีนี้ จะมีการเคลื่อนไหวแบบ side-way down เนื่องจากการคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ แบงก์ชาติ จะเริ่มลดดอกเบี้ยนโยบายจากระดับ 2.50% ในปัจจุบัน ลงไปอยู่ที่ 2.00-2.25% โดยล่าสุดตลาดคาดว่าแบงก์ชาติจะเริ่มลดดอกเบี้ยช่วงกลางปีลงไป ในส่วนมูลค่าหุ้นกู้ที่มีปัญหา ณ สิ้นไตรมาส 1/2567 มีมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 122,271 ล้านบาท คิดเป็น 2.70% ของมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาว ซึ่งถือว่ายังเป็นสัดส่วนที่น้อย โดยส่วนใหญ่หุ้นกู้ในตลาดยังถือว่าเป็นทางเลือกที่มั่นคงและปลอดภัย
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมในช่วงที่เหลือของปีนี้ ภายใต้สภาวะตลาดดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวลง คือ ทยอยสะสมซื้อหุ้นกู้ในช่วงที่ดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูง และ ซื้อตามวัตถุประสงค์การลงทุน คือ ถ้าซื้อเพื่อลงทุนแบบถือจนครบกำหนด สามารถเลือกหุ้นกู้ที่มีอายุยาว หรือ หากลูกค้ารับความเสี่ยงได้มากขึ้น สามารถลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตไม่สูงมาก เพื่อได้ผลตอบแทนที่มากกว่า แต่ถ้าซื้อเพื่อทำกำไรแบบเร็วๆ หรือเพื่อ Trading ควรเลือกหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิต A- ขึ้นไป และ มีอายุไม่เกิน 3 ปี เนื่องจากเป็นกลุ่มที่นักลงทุนสถาบันนิยมลงทุน
ขณะเดียวกันนายบำรุงพงษ์ ชีวธนากรณ์กุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการลงทุน เปิดเผยว่าตลาดหุ้นต่างประเทศเผชิญอุปสรรคในการลดดอกเบี้ย แนะนำทยอยสะสมหุ้นสหรัฐในช่วงที่ตลาดย่อตัวโดย เน้น Balance พอร์ตการระหว่างกลุ่มเทคโนโลยีที่ได้ประโยชน์จาก AI และหุ้นกลุ่ม Non-tech