STX เทรดวันแรก! ลุ้นทดสอบเป้า 3.40 บาท โบรกชี้กำไร 3 ปีโตเฉลี่ย 27%
STX ลงสนามเทรดวันแรก! ลุ้นทดสอบเป้า 3.40 บาท ด้าน “บล.ไอ วี โกลบอล” คาดกำไรสุทธิปี 67-69 เติบโตเฉลี่ย 27% ต่อปี ตามการเติบโตของอุตสาหกรรมก่อสร้างโครงการรัฐขนาดใหญ่ และภาคเอกชนที่มีความต้องการใช้หินอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (26 เม.ย.67) หลักทรัพย์ บริษัท สโตนวัน จำกัด (มหาชน) หรือ STX ได้เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายใต้กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
โดย STX มีทุนชำระแล้วหลังเสนอขาย 307.13 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 242.13 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 65 ล้านหุ้น โดยเป็นการเสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์จำนวน 64 ล้านหุ้น เสนอขายต่อผู้มีอุปการคุณของบริษัท 0.50 ล้านหุ้น และกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน 0.50 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 18-19 เมษายน และ 22 เมษายน 2567 ในราคาหุ้นละ 3.00 บาท คิดเป็นมูลค่าการเสนอขาย IPO 195 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO อยู่ที่ 921.40 ล้านบาท
ทั้งนี้ การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO พิจารณาอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio: P/E Ratio) เท่ากับ 24.22 เท่า ซึ่งคำนวณจากกำไรสุทธิ 12 เดือนย้อนหลัง (งวดปี 2566) หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ (fully diluted) จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.12 บาท โดยมี บล.ไอ วี โกลบอล เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
สำหรับ STX และบริษัทย่อยประกอบธุรกิจเหมืองหินและแร่ รวมถึงให้บริการขนส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าที่ไซต์งานอย่างครบวงจร โดยมีประทานบัตรเหมือง 2 แห่ง ประกอบด้วย 1) เหมืองหนองข่า อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ผลิตหินแกรนิต ซึ่งใช้ในการก่อสร้างอาคาร ถนน จำหน่ายให้กับลูกค้าแถบจังหวัดชลบุรี รวมถึงพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก EEC และ 2) เหมืองจอมบึง อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ผลิตและจำหน่ายหินปูนและแร่โดโลไมต์ ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ซีเมนต์ งานผลิตแก้ว ปรับสมดุลดินหรือบำบัดน้ำ เป็นต้น
ด้าน นายทรงวุธ เวชชานุเคราะห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร STX เปิดเผยว่า บริษัทกำหนดเป้าหมายในการขยายแหล่งวัตถุดิบและการผลิต เพื่อต่อยอดธุรกิจให้ครอบคลุมทุกภูมิภาค ด้วยหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุน บริษัทจะนำไปลงทุนหรือซื้อธุรกิจเหมืองหินและแร่ หรือใช้ในการก่อสร้างโรงงาน เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
โดย STX มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO คือ กลุ่มตระกูล ดร.จเรรัฐ ปิงคลาศัย ถือหุ้นร้อยละ 34.86 กลุ่มตระกูลอะโน ถือหุ้นร้อยละ 33.56 และนายสยาม วัชรปรีชา ถือหุ้นร้อยละ 3.91 บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการภายหลังจากหักภาษีและเงินทุนสำรองตามกฎหมาย
บริษัทหลักทรัพย์ ไอ วี โกลบอล จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ประเมินมูลค่าเหมาะสมของ STX อยู่ที่ 3.40 บาท โดยคาดการณ์กำไรสุทธิในอีก 3 ปี ข้างหน้า 67-69 จะเติบโตเฉลี่ย (CAGR) +27% จากรายได้ที่ เติบโตเฉลี่ย (CAGR) 10.6% สนับสนุนจาก ตามแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมก่อสร้างโครงการภาครัฐขนาดใหญ่ และโครงการภาคเอกชนที่มีความต้องการใช้หินอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 2. กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนเหมืองใหม่ ภายหลังจากที่ได้รับเงินลงทุนจาก IPO โดยคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากเหมืองใหม่ในปลายปี 68
ขณะเดียวกัน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด คาดผลประกอบการ STX ปี 66-68 เติบโต 20% ต่อปี โดยคาดว่าปี 66 รายได้เติบโต 32% อยู่ที่ 316 ล้านบาท และกำไรปี 66 โต 67% อยู่ที่ 36 ล้านบาท เนื่องจากภาครัฐได้ทุ่มงบ 3.37 แสนล้านบาทเพื่อก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคของ EEC ในปี 66-70 นอกจากนี้หินที่ภาคตะวันออกขาดแคลนทำให้ราคาจำหน่ายปรับตัวขึ้นหนุนอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มเติม ประเมินราคาเหมาะสมที่ 3.08 บาทต่อหุ้น
นอกจากนี้ บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ระบุว่า ประเมินราคาเป้าหมาย STX ที่ 3.12 บาท โดยประมาณการแนวโน้มรายได้จากการขายและให้บริการของบริษัทในปี 66 อยู่ที่ 353.28 ล้านบาท และในปี 67 อยู่ที่ 457.40 ล้านบาท และในปี 68 อยู่ที่ 518.15 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 13.61% (CAGR) จากแนวโน้มปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นจากฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการก่อสร้างในประเทศ
โดยคาดการณ์อัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 31.26% , 30.65% และ 30.76% ตามลำดับ ส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิสำหรับปี 66-68 อยู่ที่ 38.04 ล้านบาท 47.38 ล้านบาท และ 49.40 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 10.24%, 10.17% และ9.48% ตามลำดับ