3 โบรกเชียร์ “ซื้อ” SFLEX เป้าสูง 6 บาท ลุ้นกำไร Q1 โต ดันทั้งปี “ออลไทม์ไฮ”

3 โบรกเชียร์ "ซื้อ" หุ้น SFLEX เป้าสูงสุด 6 บาท คาดกำไรไตรมาส 1/67 และปี 67 ทำออลไทม์ไฮ เหตุบริหารจัดการดีเยี่ยม-ภาคการบริโภคโต


บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” หุ้น บริษัท สตาร์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SFLEX ประเมินกำไรปี 2567 จะได้แรงหนุนจาก 2 ปัจจัยหลัก 1) อัตรากำไรขั้นต้นคาดจะสูงต่อเนื่อง เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่สามารถบริหารจัดการได้ และการมุ่งเน้นที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง

อย่างไรก็ดี ใช้สมมติฐานที่อนุรักษ์นิยมโดยคาดอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้ที่ 22.50% ลดลงจาก 24% ในปีก่อน และ 2) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะภาคการบริโภคในประเทศ ซึ่งมาจากลูกค้าหลักของ SFLEX ที่เป็นผู้ผลิตสินค้าอุปโภค-บริโภคชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยปรับสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นปี 2567 เป็น 22.50% อย่างไรก็ดีปรับสมมติฐานค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ขึ้น รวมทั้งปรับลดสมมติฐานส่วนแบ่งรายได้จากโครงการ JV กับ บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ลง สุทธิแล้วทำให้ยังคงประมาณการกำไรไว้ตามเดิมที่ 215 ล้านบาท หรือโต 17% จากปีก่อน โดยยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” เป้าพื้นฐาน 6 บาท อิง Forward PE 23 เท่า หรือคิดเป็นราว -0.7 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานในอดีต

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) แนะนำซื้อ SFLEX ราคาเป้าหมาย 5.60 บาท (อิง PE ปี 67 ที่ 20 เท่า) โดยระบุปีนี้ไม่ใช่ปีที่น่ากังวลเรื่องต้นทุนแต่เป็นปีแห่งการสร้างรายได้ให้เติบโต ซึ่งเชื่อว่าด้วยการเติบโตของการบริโภคภายในประเทศและภาคท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ประกอบกับสินค้าที่มีคุณภาพของ SFLEX บริษัทจะสร้างผลประกอบการที่น่าประทับใจได้อีกปีในปี 2567

พร้อมคงประมาณการกำไรปี 2567-2569 เติบโต 23%,12% และ 9% ตามลำดับ จากอัตรากำไรขั้นต้นที่คาดว่าจะอยู่ในระดับสูง 21% (ต่ำกว่าระดับสูงผิดปกติในปี 2566 ที่ 24%) และการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก Starprint Vietnam (SFLEX ถือ 25%) ตั้งแต่ไตรมาส 1/2567 เป็นต้นไป ซึ่งอัตรากำไรขั้นตันที่ 21% สูงกว่าระดับก่อน Covid ที่ 17-19%

โดยหลักมาจากประสิทธิภาพที่ดีขึ้นในการจัดหาแหล่งวัตถุดิบ การปรับปรุงและเปลี่ยนเครื่องจักร และกระบวนการการผลิตที่ทันสมัยมากขึ้น สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 1 เราคาดว่ากำไรมีแนวโน้มทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ได้แรงหนุนจากส่วนแบ่งกำไรจาก Starprint Vietnam (SPV) ขณะที่ผลการดำเนินงานของ SFLEX เชื่อว่าดีอย่างต่อเนื่อง

ด้านบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น SFLEX คาดการณ์กำไรปี 2567 ล้านบาท เติบโตเด่นจากไตรมาสก่อน และปีก่อน ทำระดับสูงสุดใหม่รายไตรมาสอยู่ที่ประมาณ 52 ล้านบาท เติบโต 25% จากไตรมาสก่อน และ 30% จากปีก่อน

รวมถึงทำระดับสูงสุดใหม่รายไตรมาส โดยการเติบโตจากไตรมาสก่อน ได้แรงหนุนจากรายได้รวมที่คาดเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 460 ล้านบาท (โต 5% จากไตรมาสก่อน และลดลง 3% จากปีก่อน ตามปัจจัยฤดูกาล กลุ่มลูกค้าเริ่มมีการสต็อกสินค้าเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการบริโภคที่จะเร่งตัวขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ และค่าใช้จ่าย SG&A ที่คาดลดลงมาอยู่ที่ราว 55 ล้านบาท (ลดลง 13% จากไตรมาสก่อน และโต 8% จากปีก่อน) หลังไม่มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเข้าลงทุนในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในเวียดนาม (Starprint VN: SPV เหมือนในไตรมาส 4/2566

ขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดการณ์กำไรปกติสามารถเติบโตได้แม้ค่าใช้จ่าย SG&A และต้นทุนทางการเงินสูงขึ้นมาก (ผลจากการเพิ่มขึ้นค่าแรงและการกู้เงินมาลงทุนใน SPV) เนื่องจากคาดอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 25.0% (เทียบกับ 20.5% ในไตรมาส 1/2566) และการเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก SPV หลังการเข้าลงทุนเสร็จสิ้นในเดือน ธ.ค. สามารถชดเชยผลกระทบได้หากกำไรปกติไตรมาส 1/2567 ออกมาใกล้เคียงคาดจะคิดเป็นสัดส่วน 23% ของประมาณการทั้งปี

ส่วนกำไรไตรมาส 2/2567 คาดอยู่ที่ระดับ 50 ล้านบาท ชะลอตัวลงตามปัจจัยฤดูกาลแต่จะกลับมาโตเด่นในช่วงครึ่งหลังของปี 67 ซึ่งคาดกำไรปกติสามารถเติบโตได้ทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และช่วงครึ่งหลังของปีก่อน จาก 1) การรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก SPV 2) คาดระดับการบริโภคในประเทศจะฟื้นตัวต่อเนื่องหลังการอนุมัติงบประมาณประจำปี 2567 และทำให้มีการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง (หนุนการเติบโตของรายได้ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3/2567 เป็นต้นไป) และ 3) การเริ่มรับรู้รายได้จาก Star Union (JV ที่ทำร่วมกับกลุ่ม TU, ถือหุ้น 51%) หลังเริ่มเปิดโรงงานในช่วงไตรมาส 4/2567

ทั้งนี้ ราคาหุ้นอยู่ในโซนถูกเมื่อเทียบกับการเติบโต โดยราคาหุ้นได้มีการปรับตัวลงราว 6% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา หลังถูกกดดันจากกำไรไตรมาส 4/2566 ที่ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ (ตลาดคาดการณ์ที่ระดับ 50 ล้านบาท +/-) ส่งผลให้ราคาปัจจุบันซื้อขายบน PE ปี 67 เพียง 11.40 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ย PER ย้อนหลัง 4 ปี – 1.58D หรือคิดเป็น PEG เพียง 0.80 เท่า (อิงอัตราการเติบโตระหว่างปี 2567-2569 ที่ระดับ 14% CAGR) จึงมองว่าหุ้นมีดาวน์ไซด์อีกไม่มากแล้ว คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2567 ที่ 4.60 บาท/หุ้น (อิง PER 16.50 เท่า)

Back to top button