MAGURO จ่อขายไอพีโอ 34 ล้านหุ้น ลุยเทรด mai ไตรมาส 2 กางแผนผุด 11 สาขาปีนี้!
MAGURO เตรียมเสนอขายหุ้นไอพีโอ 34 ล้านหุ้น ระดมทุนขยาย-ปรับปรุงสาขา จ่อลงสนามเทรด mai ไตรมาส 2/67 กางแผนปีนี้ เปิดเพิ่มอีก 11 สาขา ดันรายได้โตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 30% ตั้งเป้าเปิดสาขาใหม่ไม่ต่ำกว่า 10 สาขาต่อปี
นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ เปิดเผยว่า บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 34,060,200 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 27.03% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ ประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 21,460,200 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 17.03% และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย Holistic Impact Pte. Ltd. (HOLISTIC IMPACT) จำนวนไม่เกิน 12,600,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 10.00%
โดยบริษัทมีทุนจดทะเบียน 63.00 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 126,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท แบ่งเป็นทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 52.27 ล้านบาท และเป็นหุ้นสามัญจำนวน 104,539,800 หุ้น และคาดการณ์ว่าจะเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ภายในไตรมาส 2/2567
“บริษัทมีฐานลูกค้าเดิมที่แข็งแกร่ง ประกอกกับการขยายแบรนด์ร้านอาหารอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ประกอบกับที่เราเป็นลูกค้าของ MAGURO อยู่แล้ว จึงเชื่อมั่นความสามารถของท่านผู้บริหารทั้ง 4 ว่าจะสามารถนำบริษัทและแบรนด์ต่างๆ เติบโตต่อ และสามารถดึงดูดลูกค้าด้วยชื่อเสียงและคุณภาพของการให้บริการ” นายสมภพ กล่าว
ด้านนางสาวจิรยง อนุมานราชธน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน MAGURO กล่าวว่า บริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยบริษัทฯ ไม่มีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย และมีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) สูงถึง 26.52% และอัตรากำไรขั้นต้นที่เติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง แม้ท่ามกลางวิกฤตทางโควิด-19 บริษัทยังสามารถทำรายได้ให้เติบโตต่อเนื่องได้ เป็นผลมาจากการดูแลสภาวะการเงิน การควบคุมการใช้จ่าย และการได้มาซึ่งราคาวัตถุดิบที่เหมาะสม ทำให้ต้นทุนเป็นลักษณะ Fix cost ที่สามารถควบคุมได้ ประกอบกับธุรกิจนี้ เป็นธุรกิจที่เข้าใจง่าย และมีฐานลูกค้าเดิมที่แข็งแกร่ง จะสามารถให้บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาด mai และได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุน
เมื่อดูผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถทำรายได้รวมในปี 66 จำนวน 1,045 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57% จากรายได้รวม 665.85 ล้านบาท ในปี 2565 และมีกำไรสุทธิ 72.48 ล้านบาทในปี 2566 เติบโตสูงถึง 131.12% จากกำไรสุทธิ 31.36 ล้านบาท ในปี 2565 ได้รับแรงหนุนมาจากธุรกิจร้านอาหารทั้ง 3 แห่งของบริษัทที่เริ่มเห็นการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่น “Maguro” คิดเป็นสัดส่วนรายได้ราว 61.9%, ร้านอาหารปิ้งย่างสไตล์เกาหลี “Ssamthing Together” คิดเป็นสัดส่วยรายได้ราว 19% และร้านชาบูสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิม “HITORI SHABU” คิดเป็นสัดส่วนรายได้ราว 19%
“แม้จะเพิ่งผ่านพ้นวิกฤตโควิด19 ที่ทำให้อุตสาหกรรมการอุปโภคและบริโภคชะลอตัว แต่บริษัทก็สร้างผลงานด้วยการเป็นหนึ่งในมีกี่บริษัท ที่สามารถปิดยอดให้เป็นบวกได้ และคาดการณ์ว่า แนวโน้มในอนาคต หลังจากได้รับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การใช้จ่ายของประชากรเพิ่มขึ้น จะช่วยให้บริษัทสามารถสร้างผลงานที่ดีต่อเนื่องได้เช่นกัน” นางสาวจิรยง กล่าว
โดยบริษัทมีจุดแข็งทางกลยุทธ์ของธุรกิจที่เรียกว่า “4 B 1 D” คือ การที่บริษัทมีแบรนด์ที่แข็งแกร่งอย่าง Maguro ซึ่งเปิดมาเป็นระยะเวลาถึง 8-9 ปี และพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยได้รับแรงสนับสนุนหลักจากทีมผู้คิดค้นและพัฒนาวัตถุดิบ วิธีการทำ เพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น รวมถึงการที่บริษัทได้รับ Brand Loyalty จากฐานลูกค้าเดิม ประกอบกับ Customer base ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าที่เป็นสมาชิก ที่บริษัทให้ความสำคัญและใส่ใจ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว บริษัทมีสัดส่วนลูกค้าในช่วงอายุ 25-40 ปีเป็นจำนวนมาก ที่มาสังสรรค์พร้อมครอบครัว ทำให้บริษัทขยายกลุ่มช่วงอายุไปได้หลากหลาย ซึ่งบริษัทมุ่งมั่นจะ Fulfill ประสบการณ์และความรู้สึกที่ดีหลังจากการได้รับบริการในร้านอาหาร ตลอดจนการมี Digital marketing ที่แข็งแกร่ง สร้างแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อกระจายกลุ่มลูกค้า และเข้าถึงลูกค้าได้ง่าย
ขณะที่นายเอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง MAGURO กล่าวว่า บริษัทก่อตั้งมาโดยเหล่าผู้บริหารทั้ง 4 คนที่มีความชื่นชอบและต้องการที่จะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับทุกคน ภายใต้ชื่อว่า “Maguro” เริ่มต้นด้วยร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นและซูชิแบบดั้งเดิม และได้ขยายกิจการมาอย่างต่อเนื่อง
โดยบริษัทมีร้านอาหารในเครือทั้งหมด 3 แบรนด์ รวม 26 สาขา คือ 1.) MAGURO ร้านอาหารญี่ปุ่นและซูชิที่ชูดจุเด่นการใช้คุณภาพสูงจากประเทศญี่ปุ่น คัดสรรเองและราคาที่เอื้อมถึงได้ จำนวน 14 สาขา 2.) SSAMTHING TOGETHER ร้านปิ้งย่างเกาหลีระดับพรีเมียม ที่ดึงวัฒนธรรมเกาหลีดั้งเดิม 100% เข้ามายังไทยเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้า มีจำนวน 6 สาขา และ 3.) HITORI SHABU ร้านชาบูและสุกี้ยากี้หม้อเดี่ยวสไตล์คันไซต้นตำหรับ เพื่อตอบโจทย์เทรนด์ลูกค้าที่ต้องการทานคนเดียวมากขึ้น มีทั้งสิ้นจำนวน 6 สาขา
นอกจากนี้ บริษัทยังให้บริการจัดส่งอาหาร และรับจัดเลี้ยงนอกสถานที่ ภายใต้ชื่อว่า “Maguro go” ที่จัดทำขึ้นจากความต้องการอำนวยความสะดวกกับลูกค้า เพิ่มมูลค่าให้กับแบรนด์ ซึ่งจะช่วยให้ยอดขายเติบโตขึ้นพอที่จะรักษาสมดุลกับค่าใช้จ่ายในช่วงโควิดที่ผ่านมาได้ โดยการเติบโตเหล่านี้ จะอยู่ภายใต้การบริหารทีมีคุณภาพของอีกทั้ง 3 คน โดยภายใต้ข้อคิดที่ว่า “Give More ให้มากกว่าที่ขอ”
ด้านนายจักรกฤติ สายสมบูรณ์ กรรมการบริหาร MAGURO กล่าวเสริมว่า ก่อนช่วงโควิดที่ผ่านมา อุตสาหกรรมร้านอาหารมีการแข่งขันที่สูงมาก โดยเฉพาะร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่น แต่เมื่อผ่านพ้นโควิดมาแล้ว ผู้ประกอบการลดลงเหลือน้อยราย ทำให้บริษัทสามารถก้าวขึ้นเป็น Top of mind ของลูกค้า ที่ช่วยเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดในกลุ่มอุตสาหกรรมนี้เพิ่มขึ้นได้ ด้วยกลยุทธ์เหล่านี้
1. การเปิดสาขาใหม่ในแบรนด์เดิม และการขยายช่องทางขนส่งออนไลน์ (Delivery) ในกรุงเทพและปริมณฑล และคาดการณ์ว่าจะนำออกไปสู่ต่างจังหวัดตามหัวเมืองใหญ่ได้ 2. เพิ่มขีดความสามารถทีมวิจัยและคิดค้น (R&D) ที่มีความรู้ด้านอาหารอย่างหลากหลาย เน้นวัตถุดิบที่มีคุณภาพ ราคาเหมาะสม 3. ลงทุนระบบ CRM บริการทางออนไลน์หลังการขาย ช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้ากลุ่มสมาชิก จัดข้อมูลของลูกค้ากลุ่มเดิมมาต่อยอดธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันนี้ บริษัทมีจำนวนลูกค้าสมาชิกมากกว่า 150,000 ราย และมีฐานลูกค้าในโซเชี่ยลแพลตฟอร์มรวมทั้งหมดเกือบ 1 ล้านคน
โดยภายหลังการระดมทุนการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 34,060,200 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 27.03% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดนั้น บริษัทมีแผนจะนำเงินที่ได้ไปขยายธุรกิจ ด้วยการเปิดสาขาเพิ่ม, ปรับปรุงสาขาเดิมและปรับปรุงครัวกลาง ติดตั้งและปรับปรุงระบบ IT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และรองรับการขยายตัวของจำนวนสาขาของบริษัทในอนาคต รวมถึงเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเปิดสาขาเพิ่มอีก 11 สาขาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นทั้งแบรนด์เดิมและแบรนด์ใหม่ (ได้เปิดตัวไปแล้ว 2 สาขา MAGURO ทองหล่อ และ HITORI SHABU พาราไดซ์ พาร์ค) อีกทั้งยังตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 30% และเปิดสาขาใหม่ไม่ต่ำกว่า 10 สาขาต่อปี เพื่อสร้างการเติบโของ MAGURO และเพิ่มความไว้วางใจให้กับนักลงทุน