SCB CIO แนะปรับพอร์ตลงทุนตลาดหุ้น “เกาหลีใต้-เวียดนาม” ลดเสี่ยงความผันผวน

SCB CIO มองสงครามอิสราเอลและอิหร่านกระทบวงจำกัด แนะกลยุทธ์ปรับพอร์ตทยอยลงทุนตลาดหุ้นพื้นฐานดี เช่น เกาหลีใต้-เวียดนาม และลงทุนทองคำสัดส่วน 5-10% เพื่อลดเสี่ยงความผันผวนพอร์ตในอนาคต


นายศรชัย สุเนต์ตา CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ภาพรวมเหตุการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risk) มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากข้อมูลในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ความถี่ของเหตุการณ์สูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 20 ปีที่ ซึ่งมีทั้งสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และสงครามที่เกิดความรุนแรง อาทิ สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ,อิสราเอล-ฮามาส (ปาเลสไตน์) และล่าสุดอิสราเอล-อิหร่าน โดยเหตุการณ์เหล่านี้เป็นหนึ่งในปัจจัยลบที่ทำให้นักลงทุนมีความกังวลเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ SCB CIO แนะนำให้ผู้ลงทุนจับตาความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risk ) จะมีผลกระทบต่อการลงทุนผ่านปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา 3 ด้าน คือ 1.ผลกระทบจากราคาพลังงานโดยเฉพาะความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่เป็นแหล่งผลิตน้ำมันและก๊าซหลักของโลก 2.ผลกระทบจากห่วงโซ่อุปทานของโลกหยุดชะงัก ซึ่งจะมีผลต่อเศรษฐกิจ และ 3.ผลกระทบต่อ Sentiment การลงทุนในตลาด ซึ่งอาจพิจารณาได้จากความขัดแย้งจะรุนแรงและขยายวงหรือไม่

เนื่องจากสงครามทำให้เกิดต้นทุนทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้หากมีความรุนแรงและยืดเยื้อจะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจประเทศต่างๆ รวมถึงเศรษฐกิจโลกได้ ขณะที่ในกรณีที่ไม่ได้ส่งผลกระทบใน 3 ด้านที่กล่าวมานี้ ผลกระทบต่อตลาดการลงทุนก็อาจจะมีไม่มากตัวอย่าง เช่น สงครามคูเวตที่อิรักมีการบุกเข้ายึดครองคูเวตที่มีน้ำมันมหาศาลและมีการต่อสู้กับกองกำลังประเทศพันธมิตรตะวันตก ซึ่งอิรักตอบโต้กลับด้วยการระเบิดบ่อน้ำมันในคูเวต พร้อมเทน้ำมันจำนวนมหาศาลลงในอ่าวเปอร์เซีย ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้เกิดการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานราคาน้ำมันมีการปรับขึ้นไปถึง 50% ส่งผลต่อ Sentiment ของตลาด

อีกทั้ง ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกช่วง 3 เดือนหลังเหตุการณ์ปรับตัวลดลง ซึ่งดัชนี MSCI World ตัวแทนดัชนีตลาดหุ้นโลก โดยเฉพาะตลาดพัฒนาแล้วปรับลดลง 9.69% ส่วนดัชนี MSCI EM ตัวแทนดัชนีตลาดหุ้นเกิดใหม่ ปรับลดลง 26.27% หรือ กรณีสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่กระทบทั้ง ราคาอาหาร เมล็ดพันธุ์พืช และพลังงานอย่างมาก เนื่องจากชาติตะวันตกคว่ำบาตรน้ำมันจากรัสเซีย ขณะที่ รัสเซียตอบโต้กลับโดยการปิดท่อส่งก๊าซ นอร์ต สตรีม 1 ซึ่งส่งไปยังสหภาพยุโรปทำให้ราคาน้ำมันปรับขึ้นไปอยู่ที่ 15% จากเหตุการณ์นี้ส่งผลต่อตลาดหุ้นโลกค่อนข้างสูง หลังดัชนี MSCI World ปรับตัวลดลง 7.08% ส่วนดัชนี MSCI EM ปรับลดลง 11.71%

ขณะที่ หากพูดถึงสงครามรัสเซีย-ไครเมีย ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันและตลาดหุ้นก็ยังทำผลงานได้ตามปกติ หรือช่วงอิสราเอลโจมตีปาเลสไตน์ในเขตกาซาไม่ขยายวงไปยังประเทศผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลางก็ไม่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันมากนัก ตลาดหุ้นยังสามารถเป็นบวกได้

สำหรับสถานการณ์สงครามอิสราเอล-อิหร่าน ช่วงกลางเดือนเม.ย.67 ที่ผ่านมา SCB CIO มองว่า ความขัดแย้งไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่มีมานับตั้งแต่ปี 2522 เพียงแต่ในอดีตเป็นการทำสงครามตัวแทน (Proxy war) ผ่านกลุ่มต่างๆ ที่อิหร่านสนับสนุน อาทิ กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ (เลบานอน), กลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ ฮามาส (ฉนวนกาซา) และกลุ่มฮูตี (เยเมน) โดยปัจจุบันกลายเป็นสงครามระหว่างกันโดยตรง (Direct war) ซึ่งสร้างความรุนแรงเริ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม SCB CIO ประเมินว่า ความเสียหายยังอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ได้เล็งเป้าหมายสำคัญทางยุทธศาสตร์ที่จะทำให้เกิดความเสียหายจำนวนมาก เพราะทราบดีว่าหากลุกลามบานปลายจะทำให้เกิดผลเสียทั้งคู่ อีกทั้งสหรัฐฯ ไม่ได้สนับสนุนอิสราเอลในการทำสงครามกับอิหร่าน

ทั้งนี้ประเมินผลกระทบจากสงครามอิสราเอล-อิหร่าน เป็น 3 กรณี คือ 1.Base line กรณีสงครามอยู่ในวงจำกัด ซึ่งปัจจุบันมองว่ายังอยู่ในกรณีนี้ โดยจะทำให้ราคาน้ำมันปรับขึ้นบ้างแต่ไม่ทะลุ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล รวมทั้งอาจยืนอยู่ในระดับ 80-90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับที่ประเทศต่างๆ ยังรับมือกับเงินเฟ้อได้ และทำให้ยังไม่มีความจำเป็นที่ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่หากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยช้าลงกว่าเดิมอาจทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกได้รับผลกระทบเชิง Sentiment ระยะสั้น

โดยที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกปรับฐานมาระยะหนึ่งแล้ว เมื่อตลาดเริ่มคลายกังวล ปรับตัวได้ ก็จะกลับมาพิจารณาปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก จึงแนะนำให้ทยอยลงทุนในตลาดหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เช่น ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ตลาดหุ้นเวียดนาม และกองทุนผสม (multi asset) ที่มีความยืดหยุ่น ผู้จัดการกองทุนปรับตามสถานการณ์ของตลาดได้ดี

2.Challenging กรณีสงครามยืดเยื้อและการสู้รบจริงจังมากขึ้น ซึ่งรวมไปถึงมีการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานอย่างการผลิตพลังงานของแต่ละประเทศ รวมทั้งโจมตีจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่มีประชากรอาศัยอยู่มาก โดยจะส่งผลให้ราคาน้ำมันอาจปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 100-120 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และธนาคารกลางอื่นๆ อาจจะยังไม่ปรับลดดอกเบี้ย  กรณีนี้จะทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกไม่สามารถยืนอยู่ในระดับปัจจุบันได้ และอาจปรับฐานมากขึ้น เนื่องจากนักลงทุนยังรับรู้ผลกระทบเป็นเพียงแค่กรณี Base line จึงแนะนำให้หยุดลงทุนในหุ้นเพิ่มเติม พร้อมเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในทองคำ ทั้งนี้ SCB CIO มองว่า โอกาสเกิดกรณีนี้ยังมีไม่มากนัก

3.Extreme กรณีสงครามเกิดขึ้นจริง และขยายวงเป็นสงครามภูมิภาคตะวันออกกลางที่มีความรุนแรงมากขึ้น จะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันอย่างมาก เนื่องจากในภูมิภาคตะวันออกกลางมีผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก และหากห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงักมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะหากอิหร่านปิดช่องแคบเฮอร์มุซ ซึ่งมีปริมาณน้ำมันไหลเวียนถึง 20% ของตลาดน้ำมันโลกอาจทำให้ผู้ผลิตน้ำมันที่อยู่รอบช่องแคบนี้ส่งออกไม่ได้ หรือการผลิตทำได้น้อยลง

โดยจากสาเหตุดังกล่าวราคาน้ำมันอาจปรับขึ้นไปไกลมากกว่า 150 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากเดิมธนาคารกลางหลักๆ ของโลกอาจจะมีนโยบายลดดอกเบี้ยแต่หลังเหตุการณ์นี้อาจต้องเปลี่ยนเป็นปรับขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากเกิดผลกระทบต้นทุนราคาน้ำมันที่ส่งผลผ่านไปยังเงินเฟ้อนานกว่าที่ประเมินไว้ ซึ่งสถานการณ์นี้จะส่งผลกระทบการลงทุนหากนักลงทุนมีกำไรจากการลงทุนในตลาดหุ้นแนะนำให้ขายเพื่อทำกำไรและเข้าซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงทองคำ จากปัจจัยเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินที่อยู่ในทุนสำรองทั่วโลก ดังนั้นค่าเงินก็อาจจะแข็งค่าขึ้นได้

ขณะที่ ทองคำ ยังมีความน่าสนใจ เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนมองว่าปลอดภัย (Safe Haven) เพราะสู้เงินเฟ้อได้และสู้กับความเสี่ยงภาวะสงครามได้เช่นกัน อีกทั้งในช่วงที่สงครามรุนแรงมากขึ้น ประกอบกับประชาชนเริ่มมีความกังวลประเด็นหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่ปรับตัวสูงเป็นประวัติการณ์ อีกทั้ง ประเทศหลักๆ ที่มีความขัดแย้งกับสหรัฐฯได้กระจายความเสี่ยงเพื่อลดการถือเงินดอลลาร์สหรัฐในทุนสำรองพร้อมหันไปถือทองคำ ซึ่งจะทำให้ความต้องการซื้อทองคำเพิ่มขึ้น ดังนั้น ราคาทองคำจึงยังมีโอกาสปรับตัวได้อีกในระยะกลาง 1-2 ปีขึ้นไป เพียงแต่ในระยะสั้นราคาอาจปรับฐานได้เพราะปรับขึ้นมารวดเร็วจากความกังวลของสงคราม

นอกจากนี้ นายศรชัย กล่าวว่า นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยง เพื่อลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายยิ่งขึ้น มากกว่าการเน้นลงทุนในตลาดหุ้นเพียงอย่างเดียว โดยอาจจะลงทุนผ่านกองทุนรวมผสมที่มีผู้จัดการกองทุนดูแลปรับพอร์ตลงทุนตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน หากยังมีสินทรัพย์ทางเลือก อาทิ ทองคำในพอร์ตลงทุนอยู่น้อยอาจพิจารณาเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในทองคำช่วงที่ราคาทองคำปรับลดลงโดยควรมีประมาณ 5-10% ของพอร์ตโดยรวมขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของแต่ละคนที่ยอมรับได้ อีกทั้งการมีทองคำในพอร์ตลงทุนจะช่วยผ่อนคลายความผันผวนการลงทุนในช่วงที่มีเหตุการณ์ไม่ปกติ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญเรื่องการลงทุนอย่างต่อเนื่อง (Stay Invested) สำหรับเป้าหมายการลงทุนระยะยาวมากกว่าการถือเงินสดเพื่อรอจับจังหวะเวลาเข้าลงทุนในตลาด (Market Timing) ซึ่งมีโอกาสพลาดได้มากและการถือเงินสดไม่สามารถสู้เงินเฟ้อได้

Back to top button