BCPG รายได้-ส่วนแบ่งเงินลงทุนเพิ่ม! หนุนกำไร Q1 แตะ 440.51 ล้าน
BCPG รายได้ขาย-บริการ พ่วงส่วนแบ่งเงินลงทุนเพิ่ม! หนุนกำไรไตรมาส 1/67 แตะ 440.51 ล้านบาท
บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2567 ดังนี้
โดยผลการดำเนินงานไตรมาส 1/67 บริษัทมีกำไรสุทธิ 440.51 ล้านบาท ลดลง 13.94% จากไตรมาส 1/66 อยู่ที่ 511.84 ล้านบาท เนื่องจากการบันทึกกำไรจากรายการพิเศษรวม 97.4 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีการบันทึกกำไรจากรายการพิเศษรวม 352.0 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิลดลง
ด้านรายได้รวมไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 1252.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/66 อยู่ที่ 1,100.50 ล้านบาท โดยรายได้จากการขายและบริการ ในไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 1,194.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.9 จากไตรมาส 1/66 โดย รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากคลังน้ำมันและท่าเทียบเรือ และโรงไฟฟ้า พลังน้ำใน สปป. ลาว
ขณะที่ในไตรมาส 1/67 กลุ่มบริษัทฯรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม (หลังหักค่าตัดจำหน่ายและไม่รวมรายการพิเศษ) อยู่ที่ 445.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1,015.0 จากไตรมาส 1/66
ส่วนต้นทุนทางการเงินในไตรมาส 1/67 กลุ่มบริษัทฯบันทึกต้นทุนทางการเงินจำนวน 419.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 82.8 จากไตรมาส 1/66 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในตลาด
ด้าน นายนิวัติ อดิเรก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ ไตรมาส 1 ปี 2567 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,194 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 441 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 1 ปี 2566 ร้อยละ 13.9 ที่มีกำไรสุทธิ 512 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาส 1 ปี 2566 มีการบันทึกการกลับรายการจากการด้อยค่าทรัพย์สิน 267 ล้านบาท
ขณะที่มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ ซึ่งไม่รวมการกลับรายการจากการด้อยค่าทรัพย์สิน และรายการพิเศษอื่นๆ 343 ล้านบาท เติบโตกว่าร้อยละ 114.7 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2566 ซึ่งมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติที่ 160 ล้านบาท
สำหรับกำไรสุทธิจากผลการดำเนินงานปกติในไตรมาส 1 ปี 2567 เติบโตกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการกลับมาเปิดดำเนินการของโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป. ลาว และเริ่มขายไฟฟ้าไปยังสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปีที่แล้ว ประกอบกับการเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการคลังน้ำมันและท่าเทียบเรือในประเทศไทยตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีที่ผ่านมา
รวมถึงการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้นจากโครงการหลัก ทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศฟิลิปปินส์ เนื่องจากกำลังลมที่พัดผ่านโครงการเพิ่มขึ้น และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐอเมริกาที่มีปริมาณการขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นและมีการบริหารจัดการส่วนต่างของราคาขายไฟฟ้าและต้นทุนค่าเชื้อเพลิงได้ดี
“นอกจากนี้เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2567 บริษัทฯ ได้บรรลุเงื่อนไขบังคับภายใต้สัญญาซื้อขายหุ้นของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย กำลังการผลิตรวม 7.95 เมกะวัตต์ และจะเริ่มรับรู้รายได้เพิ่มเติมในทันที” นายนิวัติกล่าวเพิ่มเติม