เปิดโผ 5 หุ้น รับรัฐขยายฟรีวีซ่า “อินเดีย-ไต้หวัน” ชั่วคราว 6 เดือน

โบรกฯแนะเน้นสะสม AOT-MINT-CPALL-CPAXT-BJC หลังรัฐขยายเวลาฟรีวีซ่า “อินเดีย-ไต้หวัน” เข้าเที่ยวไทยเป็นกรณีชั่วคราวอีก 6 เดือน มีผล 11 พ.ค.-11 พ.ย.67


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการณีนางสาวเกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 มีมติอนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้

1.อนุมัติในหลักการในการกำหนดให้สาธารณรัฐอินเดียและไต้หวันเป็นรายชื่อประเทศ หรือดินแดนในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการกำหนดให้ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารแทนหนังสือเดินทางของสาธารณรัฐอินเดียและไต้หวัน ซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราและให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน 30 วัน เป็นกรณีพิเศษ

โดยมีเงื่อนไขให้มีผลบังคับใช้ชั่วคราวเพิ่มเติมตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค.-11 พ.ย.67 (รวมเป็นระยะเวลา 6 เดือน) เพื่อเป็นประโยชน์ต่อมิติเศรษฐกิจและการต่างประเทศกับสาธารณรัฐอินเดียและไต้หวันในภาพรวม โดยเฉพาะด้านความเชื่อมโยงระหว่างประชาชนที่เป็นรากฐานความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่าย

2.เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดให้ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางของสาธารณรัฐอินเดีย ซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา และให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน 30 วัน เป็นกรณีพิเศษ และร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดให้ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางของไต้หวัน ซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา และให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน 30 วัน เป็นกรณีพิเศษ รวม 2 ฉบับ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและกระทรวงมหาดไทย ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขประกาศหรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป

3.มอบหมายให้หน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องกำกับติดตามและประเมินผลกระทบจากการออกประกาศกระทรวงมหาดไทยฉบับนี้ หากมีผลกระทบต่อความมั่นคงและผลประโยชน์แห่งชาติ หน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องอาจเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณายกเลิกประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวต่อไปได้

ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ รวม 2 ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสัญชาติอินเดียและไต้หวัน และให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน 30 วัน เป็นกรณีพิเศษ เพิ่มเติมอีก 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค.67 จนถึงวันที่ 11 พ.ย.67 (เดิมระยะเวลาจะสิ้นสุดลงในวันที่ 10 พ.ค.67)

ทั้งนี้เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวอินเดียและไต้หวันที่จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยในช่วงระยะเวลาดังกล่าว และช่วยเพิ่มรายได้ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยในภาพรวม

สำหรับกระทรวงการต่างประเทศได้รายงานประมาณการการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่จะได้รับว่าจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้รวมประมาณ 2,158 ล้านบาท อย่างไรก็ตามการยกเว้นการตรวจลงตราในเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์ต่อมิติเศรษฐกิจและการต่างประเทศกับสาธารณรัฐอินเดียและไต้หวันในภาพรวม โดยเฉพาะด้านความเชื่อมโยงระหว่างประชาชนที่เป็นรากฐานความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่าย

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จํากัด (มหาชน) ระบุว่า สำหรับให้ขยายระยะเวลามาตรการฟรีวีซ่าอินเดียและไต้หวันเป็นกรณีเป็นการชั่วคราวอีก 6 เดือน มีผล 11 พ.ค.-11 พ.ย. 67 (เดิมสิ้นสุด 10 พ.ค. 2567) อิงฐานนักท่องเที่ยวอินเดียและไต้หวันที่มีสัดส่วน 7.50% และ 4.20% ของนักท่องเที่ยวรวมไตรมาส 1/67

อย่างไรก็ตามฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่าผลดังกล่าวช่วยให้ผลกระทบช่วงฤดูกาลปี 67 มีโอกาสลดต่ำกว่าปีปกติ ยังเชื่อว่าจะหนึ่งในแรงหนุนช่วยให้นักท่องเที่ยวปี 67 อยู่ในกรอบบนที่ Consensus ประเมิน 35.50-36 ล้านคน ยังมองเป็นโมเมนตัมบวกหนุนหุ้นอิงภาคบริการ ท่องเที่ยว เน้นสะสม บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT, บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ  MINT, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT และ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC หากอ่อนตัวรับภาพนักท่องเที่ยวระยะสั้นอ่อนลง หลังผ่านช่วง Golden Week วันแรงงาน

ขณะเดียวกันหากดูเป็นหุ้นรายตัวยังมีความน่าสนใจอย่างต่อเนื่องจากบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า โดยคาดการณ์ว่า AOT คาดกำไรปกติไตรมาส 2 ปี 66/67 ที่ 6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 210% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน โตเด่นเมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน ตามการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและรายได้สัมปทานที่เพิ่มขึ้น เทียบจากไตรมาสก่อน คาดการณ์กำไรปกติเติบโตหนุนจาก High Season

ส่วนแนวโน้มกำไรปกติไตรมาส 3 ปี 66/67 คาดการณ์เติบโตเมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน สอดคล้องกับการฟื้นตัวของจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสาร แต่มีโอกาสลดลงจากไตรมาสก่อน ตามปัจจัยด้านฤดูกาลหากผลประกอบการออกมาตามคาด กำไรปกติครึ่งแรกของปี 66/67 จะคิดเป็น 48% ของประมาณการทั้งปี

ขณะที่แนวโน้มครึ่งหลังปี 66/67 เบื้องต้นคาดทรงตัวเมื่อเทียบกับครึ่งหลังของปีก่อน ทำให้ยังคงประมาณการ คาดกำไรปกติปี 66/67 ที่ 2.20 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 139% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน คงคำแนะนำ “TRADING” อิงราคาเหมาะสมที่ 73 บาทต่อหุ้น

บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า โดยประเมิน  MINT ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 67 ที่ 40 บาท อิง DCF (WACC ที่ 7%, terminal growth ที่ 2.50%) โดยคาดไตรมาส 1/67 จะมีผลขาดทุนปกติอยู่ที่ 80 ล้านบาท ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/66 ขาดทุนปกติ 647 ล้านบาท จาก High season ของไทยและนักท่องเที่ยวยุโรปที่เป็น Leisure ยังคงเที่ยวต่อเนื่อง แต่ลดลงจากไตรมาส 4/66 ที่กำไรปกติที่เพิ่มขึ้น 2.50 พันล้านบาท เพราะยุโรปเป็น Low season โดย 1) ธุรกิจโรงแรม RevPAR เพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน แต่ลดลง 11% จากไตรมาสก่อน

2) ธุรกิจอาหารมี SSSG โดยรวมลดลง 3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน จากไตรมาส 4/66 ลดลง 2% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน โดยจีนลดลงมากที่สุด ลดลง 22% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน จากไตรมาส 4/66 ที่เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน จากการบริโภคในประเทศที่หดตัวลง ขณะที่ไทยทรงตัวเมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน จากไตรมาส 4/66 ลดลง 3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน

ทั้งนี้ยังคงประมาณการกำไรปกติปี 67 อยู่ที่ 7.60 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน จากการฟื้นตัวในทุกประเทศ ขณะที่ไตรมาส 1/67 เป็นจุดต่ำสุดของปี และจะกลับมามีกำไรปกติไตรมาส 2/67 ซึ่งจะทำจุดสูงสุดของปีโดยจะโตได้ทั้งเมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน จาก High season ที่ยุโรป และไตรมาส 3/67 จะโตเมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน ได้ต่อเพราะมีแรงหนุนจากฟุตบอลยูโรที่เยอรมัน (14 มิ.ย.-14 ก.ค. 67) รวมถึงโอลิมปิกที่ฝรั่งเศส (26 ก.ค.-11 ส.ค. 67) ราคาหุ้น outperform SET เพิ่มขึ้น 7% ใน 3 เดือน และ outperform its peers เพราะเก็งงบไตรมาส 1/67 ที่จะดีกว่าตลาดคาด

ขณะที่ไตรมาส 2/67 จนถึงไตรมาส 3/67 จะเข้าช่วง High season ที่ยุโรป ด้าน valuation ยังถูกกว่ากลุ่มฯซื้อขาย 67 ค่า EV/EBITDA ที่ 11 เท่า เทียบกับ ERW และ CENTEL ที่ average EV/EBITDA

บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ประเมิน CPAXT เริ่มต้นคำแนะนำ “เก็งกำไร” ด้วยประเด็นน่าสนใจจาก 1) การกลับมาของนักท่องเที่ยวส่งผลต่อยอดขายในกลุ่ม HoReCa ลูกค้าหลักเติบโต 2) มาตรการรัฐจากงบประมาณมาตรการกระตุ้นเศรษกิจ และ โครงการ Digital wallet ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเม็ดเงินและเพิ่มกำลังซื้อ

นอกจากนี้ คาดหลังจากมีการร่วมมือกันระหว่าง MAKRO และ Lotus’s ทำได้ดีขึ้น หลังจาก CPAXT มีความชัดเจนในการปรับโครงสร้างขององค์กร ซึ่งบริษัทจะได้ประโยชน์ 1)จากการบริหารจัดการที่มีความคล่องตัวมากขึ้น 2) ช่วยลดค่าใช้จ่ายและต้นทุนการผลิต รวมถึง 3) การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ทำให้การดำเนินงานทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งคาดว่าขั้นตอนต่างๆ จะแล้วเสร็จในไตรมาส 4/67 และจะเริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้นในปี 68

ขณะเดียวกันคาดแนวโน้ม SSSG ยังทำได้ดีโดยในไตรมาส 1/67 SSSG ของ MAKRO เพิ่มขึ้น 2-3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และLotus’s เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน ได้ประโยชน์จาก E-Receipt สนับสนุนยอดขายในไตรมาส 1/67 ทำได้ดีต่อเนื่องจากไตรมาส 4/66 ที่ MAKRO เพิ่มขึ้น 1.70% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และ Lotus’s เพิ่มขึ้น 5.50% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน

ทั้งนี้คาด SSSG ในปี 67 ของ MAKRO จะเพิ่มขึ้น  4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และ Lotus’s เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน

นอกจากนี้ คาดในปี 67 บริษัทจะมีกำไรปกติ 1 หมื่นล้านบาท เติบโต 22% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน โดยประเมินมีอัตราการเติบโตของกำไรปกติ (CAGR) ในช่วง 3 ปี 67-69 ที่ 18.20%

Back to top button