โบรกคัด 13 หุ้น เก็งเม็ดเงินใหม่ดันราคา หากฟื้นกองทุน LTF
“บล.เอเซียพลัส” มองหากมีเม็ดเงิน “กองทุนLTF” ใหม่เข้ามา อาจช่วยผลักดัน SET ปรับตัวขึ้นได้ถึง 100 จุด หนุนเป้าดัชนีปลายปีที่ 1,580 จุด พร้อมแนะลงทุน 13 หุ้น รับโอกาสฟื้น “LTF” เม็ดเงินใหม่ผลักดันให้ราคาหุ้นมีโอกาสปรับขึ้นได้
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด ระบุในวิเคราะห์ถึงกลยุทธ์การลงทุน โดยหาหุ้นมีโอกาสรับเม็ดเงินเพิ่มหากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ฟื้นกลับมาจะช่วยแก้ปัญญาตลาดหุ้นไทยที่เผชิญในปัจจุบันได้หลายมิติ ดังนี้ 1) ลดแรงขายจากทางนักลงทุนสถาบันฯสังเกตได้จากหลังหมด LTF และ SSFX มาซักระยะนักลงทุนสถาบันฯ ก็เริ่มขายสุทธิออกมาต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ ม.ค.64-เม.ย.67 สถาบันฯ เป็นผู้ขายหุ้นไทยมากสุดถึง 1.50 แสนล้านบาท สูงกว่าต่างชาติ 1.03 แสนล้านบาท
2) หักล้างการ REDEEM ใน LTF เก่า โดยพอ LTF หมดลงก็ไม่มีเม็ดเงินใหม่เข้ามาหนุนตลาดฯ มีแต่เม็ดเงินที่ทยอยถอนออก (REDEEM) โดยก่อน LTF จะหมดสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี (ปลายปี 62) ขณะนั้นมีเม็ดเงิน LTF คงค้างในระบบสูงถึง 4.06 แสนล้านบาท และค่อยๆ ถอนออกจากตลาดหุ้นไทยกว่า 1.59 แสนล้านบาท โดยเป็นการกดดันตลาด และล่าสุด เม.ย. 67 เหลือมูลค่าคงค้าง LTF อยู่ 2.47 แสนล้านบาท ซึ่งหากไม่มีเม็ดเงิน LTF ใหม่เข้ามาช่วยพยุง ตลาดหุ้นไทยก็จะถูกกดดันจากแรงขายในยอดเงินคงค้างต่อไป
3) ช่วยพยุงราคาลดผลกระทบจากการ SHORT SELLหรือแรงกระทบจากปัจจัยภายนอกส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยผันผวนในช่วงระยะสั้น แต่หากมีเม็ดเงิน LTF มองว่าน่าจะเข้ามาช่วยพยุงในยามผันผวนระยะสั้นได้ เพราะผู้ลงทุน LTF จะหาจังหวะสะสมในช่วงที่ตลาดย่อตัวลงมา
4) เพิ่มสภาพคล่องในระบบ โดยเป็นการหนุนสภาพคล่อง หรือ TURNOVER ในระบบให้สูงขึ้น โดยในอดีตช่วงมี LTF ตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่องหรือ TURNOVER เฉลี่ยสูงถึง 80% ต่อปี แต่ปัจจุบัน TURNOVER เฉลี่ยเหลือเพียง 62.7% หากสภาพคล่องกลับมาบริเวณปกติ ที่ TURNOVER เฉลี่ยสูงถึง 80% ต่อปี จะมีมูลค่าซื้อขายกลับไป 5.50 หมื่นล้านบาทต่อวัน ซึ่งน่าจะเพียงพอในการขับเคลื่อนดัชนีหุ้นไทยให้ขยับขึ้นได้
5) หวังเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้น โดยคาดหวังเม็ดเงินจาก LTF ใหม่เข้ามาหนุนราว 6-7 หมื่นล้านบาทต่อปี โดย
ปกติในอดีตจะมีเม็ดเงิน LTF ใหม่ไหลเข้าหุ้นไทยราว 6-7 หมื่นล้านบาทต่อปีพร้อมกับช่วยหนุนสภาพคล่องในระบบเพิ่มขึ้น
อนึ่ง ในอดีตเม็ดเงินจาก LTF มักจะไหลเข้าตลาดหุ้นราว 6-7 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยฝ่ายวิจัยฯ ได้ทำการศึกษาเพิ่มเติม พบว่า เม็ดเงินที่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยเพิ่มเติมทุกๆ 1 หมื่นล้านบาท จะหนุนให้ SET INDEX ปรับตัวขึ้นได้ราว 1.2% ดังนั้นคาดหวังว่าหากมีเม็ดเงิน LTF ใหม่เข้ามา อาจจะช่วยผลักดันให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นได้ถึง 100 จุด หรือวิ่งเข้าหาดัชนีเป้าหมายปลายปีที่ 1,580 จุด
ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยฯ ได้ทำการหาข้อมูลว่ากองทุน LTF ขนาดใหญ่ถือหุ้นอะไรบ้าง โดยจากข้อมูลสัดส่วนการถือหุ้น 5 อันดับแรกในกองทุน LTF ที่ใหญ่ที่สุด 10 กองทุน ซึ่งกินสัดส่วน NAV ไปกว่า 65% ของ LTF ทั้งหมด 106 กองทุน พบว่า หุ้นที่กองทุน LTF ถือเยอะสุด คือ หุ้นบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)หรือ CPALLโดยมากสุดราว 8.20 พันล้านบาท รองลงมาคือ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT
ตามมาด้วย บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF, บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP, ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL, บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB, บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC, บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN, บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANB
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT, บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC, บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS, บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC ซึ่งถ้า LTF กลับมาได้สิทธิลดหย่อนภาษี หุ้นดังกล่าวก็มีโอกาสถูกเม็ดเงินใหม่ผลักดันให้มีโอกาสปรับขึ้นได้