KKPS โบรกแนะ “ถือ” MAJOR เป้า 15.30 บาท ลุ้นกำไรปี 67 แตะ 676 ล้าน
บล.เกียรตินาคินภัทร แนะ “ถือ” MAJOR ราคาเป้าหมาย 15.30 บาท หลังโชว์งบไตรมาส 1/67 กำไรสุทธิโต 89% พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิในปี 67 อยู่ที่ 676 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กำไรสุทธิไตรมาส 1/67 จากการดำเนินงานหลักของ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR อยู่ที่ 136 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 89% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 53% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยดีกว่าที่ฝ่ายนักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 120 ล้านบาท และคิดเป็น 20% และ 15% ของคาดการณ์ทั้งปีของ KKPS และ consensus ตามลำดับ
สำหรับผลการดำเนินงานเติบโตขึ้นได้รับปัจจัยบวกจากกำไรที่บริษัทยังไม่รับรู้จากการลงทุนในกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ไลฟ์สไตล์ (MJLF) ซึ่ง MAJOR โดยถือครองอยู่ 33%
ขณะที่ EBITDA ของบริษัทอยู่ที่ 57 ล้านบาท ลดลง 14% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ตรงตามที่ฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ แม้ว่ารายได้จะเติบโต แต่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ก็เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ EBITDA ลดลง ขณะที่ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีจำนวน 65 ล้านบาทช่วยหนุนกำไร
อย่างไรก็ตาม ยอดขายตั๋วภาพยนตร์ยังคงต่ำกว่าระดับก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19 แม้จะเติบโตขึ้น 11% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็น 66% ของระดับก่อนการแพร่ระบาด โดยได้รับผลกระทบจากแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง
โดยทางฝ่ายนักวิเคราะห์ระบุว่า ยอดขายป๊อบคอร์นและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เติบโตช้ากว่ายอดขายตั๋วภาพยนตร์ เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากราคาป๊อบคอร์นที่เพิ่มสูงขึ้น เพื่อเป็นการชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้นในไตรมาส 4/66 และส่งผลให้การเปรียบเทียบสัดส่วนของป๊อบคอร์นและตั๋วภาพยนตร์ (con-to-box ratio) ลดลงเหลือ 54% จาก 56% ในไตรมาส 1/66
อย่างไรก็ตาม การขึ้นราคาป๊อบคอร์นส่งผลให้มาร์จิ้นขั้นต้นของธุรกิจจำหน่ายป๊อบคอร์น และเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นจาก 55.9% ในไตรมาส 1/66 เป็น 60.8% ในไตรมาส 1/67
ทั้งนี้ รายได้จากการโฆษณาในไตรมาส 1/67 เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนจะเติบโตช้ากว่ายอดขายตั๋วภาพยนตร์เช่นเดียวกัน โดยส่งผลให้รายได้โฆษณาต่อผู้ชมหนึ่งคนลดลงเหลือ 34 บาท จากเดิม 40 บาทในไตรมาส 1/66 ซึ่งฝ่ายนักวิเคราะห์เชื่อว่ารายได้จากภาพยนตร์ไทยที่ทำได้ต่อเรื่องนั้นจะน้อยกว่าภาพยนตร์ของฮอลลีวูด
ดังนั้น ทางฝ่ายนักวิเคราะห์ยังคงคำแนะนำ “ถือ” MAJOR ที่ราคาเป้าหมาย 15.30 บาท โดยคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิในปี 2567 จะอยู่ที่ 676 ล้านบาท ก่อนจะปรับขึ้นเป็น 702 ล้านบาทในปี 2568 และคาดการณ์ในปี 2569 มาอยู่ที่ 618 ล้านบาท