KSL วางงบลงทุน 3.5 พันล้าน พัฒนาโรงงาน “วัฒนานคร” ลุ้นเป้าปี 67 ปิดหีบอ้อย 5.43 ล้านตัน
KSL กางแผนปี 67 อัดงบลงทุน 2.5-3.5 พันล้านบาท พัฒนาโรงงานใหม่สาขา “วัฒนานคร” หนุนผลงานแกร่ง แนวโน้มดำเนินงานในปี 2567 บริษัทฯ คาดการณ์ว่าจะสามารถปิดหีบอ้อยได้ประมาณ 5.43 ล้านตัน และคาดว่าราคาน้ำตาลดีขึ้น
นายมีชัย ปิยะวิเศษพัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน)หรือKSLเปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 13 พ.ค.67 ว่า บริษัทฯ มีกำไรสุทธิงวดไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ 513 ล้านบาท ลดลง 25 ล้านบาท หรือลดลง 5% เมื่อเปรียบเทียบกับกำไรสุทธิในไตรมาส 1 ปี 2566 อยู่ที่ 538 ล้านบาท
โดยกำไรสุทธิดังกล่าวที่ลดลง มีสาเหตุจากรายได้หลักจากการขายสินค้าและบริการ อยู่ที่ 3,337 ล้านบาท ลดลง 10% จากปีก่อนอยู่ที่ 3,727 ล้านบาท เนื่องจากปริมาณขายน้ำตาล ลดลง 33% อยู่ที่ 104,485 ตัน และราคาน้ำตาลที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาตลาดรวมถึงต้นทุนที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ ธุรกิจน้ำตาล บริษัทฯ มีปริมาณขายน้ำตาลในประเทศในไตรมาส 1/67 จำนวน 98,887 ตันลดลง 35% จากปีก่อน แต่ราคาขายเพิ่มขึ้น 22% ส่วนปริมาณขายน้ำตาลต่างประเทศ จำนวน 5,598 ตัน เพิ่มขึ้น 59% จากปีก่อน และราคาเพิ่มขึ้น 22% จากปีก่อน
ส่วนธุรกิจไฟฟ้า มีราคาขายไฟลดลง 13% เนื่องจากค่า Ft ปรับตัวติดลบเกือบ 90% จากปีก่อน ทำให้ราคาขายไฟหัวเฉลี่ยลดลงจากเดิม 3.80 บาท เหลือ 3.30 บาท ทำให้ภาพรวมกำไรติดลบ อีกทั้งต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นจาก 105 ล้านบาท เป็น 135 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 30 ล้านบาท จากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยไตรมาส 1/67 ปริมาณส่งมอบกระแสไฟฟ้า 171,377 เมกกะวัตต์
ขณะที่ต้นทุนการขายของบริษัทฯ ยังเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีสัดส่วนการใช้ ไม้สับ (Wood Chip) จากเดิม 23% เพิ่มมาเป็น 29% ซึ่งมีราคาสูงกว่าอ้อย ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นจาก 105 ล้านบาท เป็น 135 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 30 ล้านบาท จากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
“ในปีนี้ บริษัทจัดสรรน้ำตาลอยู่ที่ 6 แสนตัน โดยในปี 66/67 แยกเป็นการขายในประเทศ จำนวน 1.76 แสนตัน และนอกประเทศอีก 3 แสนกว่าตัน และในปี 67/68 จะแบ่งขายในประเทศ จำนวน 176 ล้านตัน และนอกประเทศราว 3 แสนกว่าตัน โดยรวมน้ำตาลทั้งหมดเป็น 6.65 แสนตัน ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว บริษัทฯจะส่งออกไปยังประเทศแถบเอเชียเป็นส่วนใหญ่ ได้แก่ ประเทศอินโดนีเซีย, ญี่ปุ่นและเกาหลี จะนำเข้าผลผลิตที่เป็นดิบของไทยเป็นหลัก” นายมีชัย กล่าว
สำหรับแนวทางการดำเนินงานในปี 2567 นี้ บริษัทฯ คาดการณ์ว่าจะสามารถปิดหีบอ้อยได้ประมาณ 5.43 ล้านตัน และคาดว่าราคาน้ำตาลดีขึ้น หลังการพยากรณ์อากาศคาดการณ์ว่ามีแนมโน้มราว 60% ที่ไทยจะเข้าสู่ภาวะลานีญ่าหรือฤดูฝน ประมาณช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคมก่อนที่จะกลับมาสู่ระดับปกติ ขณะเดียวกัน ราคาน้ำตาลที่ยังคงสูง ปัจจุบันบริษัทฯ ได้ล็อคต้นทุนราคาน้ำตาลไว้เรียบร้อยแล้วราว 70-80% และคาดการณ์ว่าในปีนี้ จะสามารถทำกำไรได้สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้
โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีอัตราการใช้งานหรือกำลังผลิตของทุกกลุ่มโรงงานอยู่ราว 148,000 ตันต่อวัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณการเก็บอ้อย หากเก็บอ้อยได้เต็มหีบ 100 วัน จะทำให้กำลังการผลิตราว 14 ล้านตันต่อปี ส่วนการกักเก็บอ้อยนั้นบริษัทฯ จะเก็บเพียงแค่ 2 วัน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะกักเก็บน้ำตาลทรายดิบและน้ำตาลทรายขาวมากกว่า โดยบริษัทฯ มุ่งเน้นการสร้างคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้เปลี่ยนเป็นน้ำตาลให้เร็วที่สุด
ส่วนแนวโน้มยอดขายของบริษัทฯ คาดการณ์ว่าจะเติบโตดีในไตรมาส 3/2567 เนื่องจากมีโอกาสลูกค้าใหม่ๆเข้ามารับมอบมากกว่าช่วงนี้ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ประเมินราคาน้ำตาลในปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 21-22 เซนถือว่าเป็นราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านๆมา แต่ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า
“บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนในปีนี้ราว 2,500-3,500 ล้านบาท เพื่อใช้พัฒนาโรงงานแห่งใหม่ อำเภอวัฒนานคร ที่จังหวัดสระแก้ว อีกทั้งที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้พูดคุยและศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการหาดีลใหม่หรือการสร้างซินเนอร์ยี่ใหม่ๆอยู่เสมอ เพียงแต่ปัจจุบัน ยังไม่สามารถค้นพบคู่สัญญาที่ตรงกับธุรกิจของบริษัทฯ ได้ ซึ่งจะยังคงพัฒนาธุรกิจหลักภายในต่อไป” นายมีชัย กล่าวทิ้งท้าย