PRM กวาดกำไร Q1 แตะ 589 ล้านบาท ปักธงรายได้ปี 67 โต 10% เร่งเดินหน้าขยายกองเรือ

PRM รายงานงบไตรมาส 1/67 กวาดกำไรแตะ 589 ล้านบาท โกยรายได้แตะ 2.1 พันล้านบาท รับผลดีให้บริการกองเรือเต็มประสิทธิภาพ และรับรู้รายได้สัญญาให้บริการระยะยาว พร้อมเร่งเดินหน้าขยายกองเรือตามแผน หนุนรายได้ปี 67 เติบโต 10%


นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1 ปี 2567 (สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2567) เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ มีรายได้รวม 2,131.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% จากไตรมาส 4/2566 ที่มีรายได้ 2,053.8 ล้านบาท

โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากสัญญาให้บริการระยะยาว และเรือที่ให้บริการทุกลำสามารถปฏิบัติงานได้เต็มประสิทธิภาพ และมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 588.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.6% จากไตรมาสก่อนที่มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (ไม่รวมกำไรสุทธิจากการขายเรือ) อยู่ที่ 457.6 ล้านบาท เป็นผลมาจากการลงทุนขยายธุรกิจเรือสนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเลในช่วงสิ้นปี 2566 และเริ่มรับรู้รายได้เพิ่มขึ้น ภายใต้สัญญาให้บริการระยะยาวตั้งแต่ไตรมาส 1/2567

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าธุรกิจเรือกักเก็บและผสมน้ำมันกลางทะเล จะชะลอตัวลงในไตรมาส 1/2567 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1/2566 แต่ธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปและปิโตรเคมี และธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันดิบ ยังสามารถสร้างรายได้และผลกำไรได้เพิ่มขึ้น ทำให้กำไรสุทธิจากการดำเนินงานของไตรมาส 1/2567 ใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันของปี 2566

สำหรับธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันสำเร็จรูป และปิโตรเคมี (Petroleum and Chemical Tankers “PCT”) ไตรมาส 1/2567 มีรายได้ 896.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาสเดียวกันของปี 2566 สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มเรือให้บริการขนส่งปิโตรเคมีเหลว 1 ลำตั้งแต่ไตรมาส 4/2566 และปริมาณการขนส่งน้ำมันอากาศยาน Jet A-1 เพิ่มสูงขึ้นตามการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

ขณะที่ธุรกิจเรือกักเก็บและผสมน้ำมันกลางทะเล (Floating Storage Unit “FSU”) มีรายได้ 569.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% และมีกำไรขั้นต้นสูงขึ้น 27.3% จากไตรมาส 4/2566 ปัจจัยหลักมาจากความต้องการกักเก็บน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากผู้ค้าน้ำมันกังวลว่าสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางอาจจะเป็นอุปสรรคต่อการขนส่งน้ำมันดิบ อีกทั้งเรือ Harmony Star ที่ได้หยุดให้บริการเพื่อติดตั้งอุปกรณ์ในไตรมาส 4/2566 ได้กลับเข้ามาให้บริการตามปกติแล้ว

ขณะเดียวกันธุรกิจเรือสนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล (Offshore Support Vessel “OSV”) มีรายได้สูงกว่าไตรมาส 1/2566 ถึง 91.3% และมีกำไรขั้นต้นสูงกว่าไตรมาส 4/2566 ถึง 163.6% เนื่องจากบริษัทฯ ได้เริ่มให้บริการเรือ AWB และเรือ Hybrid Crew boat เพิ่มเติมอย่างละ 1 ลำ ตั้งแต่กลางเดือนมกราคม และต้นเดือนมีนาคม 2567 ตามลำดับ โดยการเพิ่มเรือ AWB และเรือ Hybrid Crew Boat ยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้รายได้และกำไรขั้นต้นของธุรกิจเรือ OSV สูงกว่าไตรมาส 4/2566 ถึง 34.3% และ 33.1% ตามลำดับ

ส่วนธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันดิบ (Crude Oil Carrier “COC”) ในไตรมาส 1/2567 มีรายได้จำนวน 439.6 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1/2566 มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นจากอัตราการใช้เรือ Aframax ที่เพิ่มมากขึ้นเป็น 100% จากเดิม 72% ขณะที่ธุรกิจตัวแทนสายเดินเรือและออกของ (Ship Agent and Shipping “SAS”) บริษัทฯ เตรียมมีโครงการใหม่ โดยอยู่ระหว่างเตรียมการเพื่อขยายธุรกิจ SAS ต่อไป

สำหรับการดำเนินธุรกิจในไตรมาส 2-4 ปี 2567 ยังคงมุ่งขยายกองเรือกลุ่มเรือขนส่งน้ำมันและปิโตรเคมีทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงเรือให้การสนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล (Offshore Support) อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการใช้บริการของลูกค้า และทดแทนเรือเดิมที่มีอายุใกล้ปลดระวาง รวมถึงมองหาโอกาสในธุรกิจต่างๆเพิ่ม หนุนการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญโดยบริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2567 เติบโต 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2567 ที่สามารถสร้างผลงานได้ตามกลยุทธ์ สะท้อนถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจที่มีความแข็งแกร่ง ส่วนแนวโน้มธุรกิจและผลประกอบการไตรมาส 2/2567 ยังมีทิศทางการเติบโตที่ดี ทำให้บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง หนุนรายได้ปี 67 เติบโตตามเป้า” นายวิริทธิ์พล กล่าว

Back to top button