LTS เทรดวันแรก! โบรกชี้กำไร 4 ปี โตเฉลี่ย 34% เคาะเป้าสูง 4.18 บาท

LTS ลงสนามเทรดวันแรก! โบรกคาดกำไรสุทธิปี (66-69) เติบโตเฉลี่ย 34% ให้ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 4-4.18 บาท รองรับเข้าประมูลโครงการขนาดใหญ่ หนุนสัดส่วนรายได้กลุ่มลูกค้าเพิ่มมากขึ้น


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (16 พ.ค.2567) หลักทรัพย์ บริษัท ไลท์อัพ โทเทิล โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ LTS ได้เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายใต้กลุ่มอุตสาหกรรม สินค้าอุปโภคบริโภค

สำหรับ LTS มีทุนชำระแล้วหลังเสนอขาย 103.30 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 151.60 ล้านหุ้นและหุ้นสามัญเพิ่มทุน 55 ล้านหุ้น โดยเป็นการเสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์จำนวน 46.2 ล้านหุ้น เสนอขายต่อผู้มีอุปการคุณของบริษัท 4.4 ล้านหุ้น และเสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน 4.4 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 9, 10 และ 13 พฤษภาคม 2567 ในราคาหุ้นละ 3.00 บาท คิดเป็นมูลค่าการเสนอขาย IPO 165 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 619.80 ล้านบาท

ทั้งนี้ การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO พิจารณาอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio: P/E Ratio) เท่ากับ 19.72 เท่า ซึ่งคำนวณจากกำไรสุทธิงวดปี 2566 หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ (fully diluted) จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.1521 บาท โดยมีบริษัท ออพท์เอเชีย แคปิตอล จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

โดย LTS ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่าย ออกแบบและติดตั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ซึ่งประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าส่องสว่าง ในรูปแบบ smart pole, smart home automation โดยการออกแบบระบบส่องสว่างได้นำรูปทรงสถาปัตยกรรมของอาคารมาเป็นแนวความคิดในการออกแบบเพื่อให้เกิดความงดงามและมีเอกลักษณ์ประจำอาคาร หรือการรับติดตั้งระบบส่องสว่างให้แก่อาคารที่อยู่อาศัยทั้งบริเวณภายในและภายนอกอาคาร เช่น ห้างสรรพสินค้า คอนโด รีสอร์ต และโรงแรม เป็นต้น

รวมถึงมีช่องทางการจำหน่ายแบบค้าส่งและค้าปลีก และในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2566 บริษัทได้เพิ่มธุรกิจ IT Solutions เพื่อต่อยอดผลิตภัณฑ์และบริการให้สอดรับกับอุปกรณ์ IoT (Internet of Things) โดยในปี 2566 โครงสร้างรายได้จำแนกตามกลุ่มลูกค้า ได้แก่ 1) กลุ่มผู้รับเหมาหรือสถาปนิก 2) กลุ่มลูกค้าโครงการรัฐบาล รัฐวิสาหกิจและเอกชน 3) กลุ่มค้าส่งและค้าปลีก และ 4) ธุรกิจใหม่ ในสัดส่วนร้อยละ 50 : 41 : 8.6 : 0.4 ตามลำดับ

นายภัฎ ตรัสโฆษิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LTS เปิดเผยว่า บริษัทมีประสบการณ์และความชำนาญในธุรกิจมากว่า 14 ปี โดยมุ่งเน้นการใช้นวัตกรรมในการช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและตอบโจทย์ให้กับทุกกลุ่มลูกค้าของบริษัท สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุน บริษัทจะนำไปลงทุนในตึกออฟฟิศ Showroom โกดังสินค้า และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนรองรับโครงการขนาดใหญ่ ได้แก่ สวนสาธารณะอัจฉริยะ, โครงการ smart pole, โครงการ smart city และโครงการ smart street light เป็นต้น

อย่างไรก็ดี LTS มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO คือ นายภัฎ ตรัสโฆษิต ถือหุ้น 38.52%, นายกิตติพงษ์ วิมลโนช ถือหุ้น 22.38% และนางสาวสุวิมล เชาวนโยธิน ถือหุ้น 6.60% บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิของงบการเงินบริษัทภายหลังจากหักภาษีและเงินทุนสำรองตามกฎหมาย

บริษัท หลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัทมีรายได้หลักมาจากลูกค้าผู้รับเหมาหรือสถาปนิกสัดส่วนราว 77% 61% และ 50% ของรายได้ทั้งหมดในปี 2564-2566 ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง และเป็นกลุ่มลูกค้าที่กลับมาซื้อสินค้ากับบริษัทซ้ำอย่างต่อเนื่อง ทำให้รายได้ในส่วนดังกล่าวค่อนข้างชัดเจน ส่งผลให้ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทสามารถหันไปให้ความสำคัญกับรายได้ในส่วนอื่นเพิ่มขึ้นอย่างรายได้จากโครงการใหญ่ ซึ่งมีมูลค่าโครงการรวมสูงกว่า โดยในปี 2565 บริษัทได้รับความไว้วางใจให้เข้าติดตั้งเสาไฟในโครงการสวนสาธารณะอัจฉริยะ

โดยสะท้อนให้เห็นว่า บริษัทมีความเชี่ยวชาญและได้รับความไว้ใจในหลายโครงการขนาดใหญ่ ทำให้คาดการณ์ว่าในปี 2566-2569 บริษัทจะมีรายได้เติบโตอยู่ที่ 33.7% CAGR โดยคาดการณ์ว่าอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทจะอยู่ที่ 32.2-33.1% ในปี 2567-2569 โดยอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลง คาดการณ์ว่าจะมาจากสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นของรายได้ในกลุ่มลูกค้าโครงการขนาดใหญ่ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นน้อยกว่า อย่างไรก็ดีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการขายและบริหารต่อรายได้มีการปรับตัวลดลงตามรายได้ที่สูงขึ้น ทำให้อัตรากำไรสุทธิปรับตัวลงในอัตราที่น้อยกว่าเป็น 15.1% 14.5% และ 14.0% สำหรับ 2567-2569

ทั้งนี้จากการประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 อยู่ที่ 60.5 ล้านบาท และจำนวนหุ้นสามัญหลังการ IPO ที่ 204.1 ล้านหุ้น โดยจะได้มูลค่ากิจการหลัง IPO ของ LTS อยู่ที่ 816 ล้านบาทหรือ 4.00 บาทต่อหุ้นอิงประมาณการ EPS ในปี 2567 ที่ 0.30 บาท อ้างอิงค่า P/E ที่ 13.5 เท่า บนค่าเฉลี่ยอุสาหกรรมสินค้าวัสดุก่อสร้าง 5 ปี โดยคาดการณ์ว่า LTS จะมีกำไรสุทธิเติบโต สำหรับปี 2566-2569 เติบโตเฉลี่ย (CAGR) ที่ 34.3%

ส่วน Downside risk จากการประเมินมูลค่าของทางฝ่ายนักวิเคราะห์ คือการเข้าประมูลโครงการขนาดใหญ่ที่ต่ำกว่าคาด ทั้งจากการแข่งขันที่สูงและเศรษฐกิจที่อาจฟื้นตัวช้ากว่าคาด รวมถึงการไม่สามารถขายสินค้า หลังจากการออกแบบซึ่งอาจทำให้สุญเสียแรงงานทรัพยากรบุคคลในการออกแบบและขายสินค้าให้แก่โครงการอื่น รวมถึงรายได้จากโครงการใหม่ที่อาจมีอัตรากำไรต่ำกว่าคาด

บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า รายได้เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีของ LTS อยู่ที่ 244 ล้านบาท ถือว่ายังเป็นบริษัทขนาดเล็กเมื่อเทียบกับรายใหญ่ในตลาดหลอดไฟและโคมไฟอย่าง L&E ที่มีรายได้ต่อปีเกือบ 3 พันล้านบาท แต่หากพิจารณาในด้านกำไรสุทธิ LTS ถือว่ามีพัฒนาการต่อเนื่องโดยมีกำไรสูงสุดที่ 31 ล้านบาท ในปี 2566 ดีที่สุดในกลุ่มเมื่อเทียบกับธุรกิจจำหน่ายหลอดไฟ และโคมไฟที่จดทะเบียนในตลาด SET และ mai เนื่องจากการให้บริการแบบครบวงจร และเสริมด้วยบริการด้าน IT Solution ของตัวเอง ทำให้ความสามารถในการทำกำไรสูงกว่ากลุ่มทั้ง GPM และ NPM ด้วยฐานรายได้ที่ยังต่ำ ซึ่งคาดการณ์จะยังเติบโตได้อีกมาก

โดยมีฐานลูกค้ากลุ่มสถาปนิคเป็นรายได้ประจำราว 140 ล้านบาทต่อปี แต่ยังเติบโตได้จากมาตรกระตุ้นอสังหาฯ ของภาครัฐฯ ขณะที่ตัวเร่งการเติบโตจากขายสินค้าที่เพิ่มมูลค่าเช่น Smart Street Light และ Smart Pole เนื่องจาก 1 เสา สามารถให้บริการได้หลากหลายตามต้องการ ทำให้ลดจำนวนเสา และสายไฟ ซึ่งคาดการณ์รายได้ในปี 2566 – 2569 เติบโตเฉลี่ย CAGR 38% แต่คาดการณ์กำไรเติบโตสูงกว่าที่ 47.2% ต่อปี เนื่องจากงานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เชื่อมต่อ IoT จะมีอัตรากำไรสูงกว่า และหลัง IPO รับงานขนาดใหญ่มากขึ้นได้ โดยที่ค่าใช้จ่ายด้านบุคคลากรและดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น ในอัตราที่น้อยกว่าให้มูลค่าพื้นฐาน 4.18 บาท

ทั้งนี้ LTS จะซื้อขายใน mai ด้วยจำนวนหุ้นเพิ่มทุนไม่เกิน 52.5 ล้านหุ้น มีราคาพาร์ 0.50 บาท จำนวนหุ้นทั้งหมดหลัง IPO ไม่เกิน 204.1 ล้านหุ้น โดยคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2567 ทำระดับสูงสุดใหม่ที่ 57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เมื่อเทียบเท่า EPS ที่ 0.278 อิงค่า PER ที่ 15 เท่า ได้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 ที่ 4.18 บาท

Back to top button