TGE ตั้งเป้ารายได้ปี 67 แตะ 1.1 พันล้าน ลุย COD โรงไฟฟ้าขยะ-เร่งศึกษาดีล M&A ลงทุนตปท.
TGE ตั้งเป้ารายได้ปี 67 แตะ 1.1 พันล้านบาท เดินหน้า COD โรงไฟฟ้าขยะต่อเนื่อง พร้อมเร่งศึกษาดีล M&Aเตรียมลงทุนโครงการ “วินด์ฟาร์ม-ไฮโดรเจน” ในเวียดนามและกัมพูชา คาดเห็นความชัดเจนภายในปีนี้
นายสืบตระกูล บินเทพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TGE เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทฯมีโรงไฟฟ้าชีวมวล จำนวน 3 โครงการ มีกำลังผลิตรวม 30 เมกะวัตต์ ขณะที่โรงไฟฟ้าไบโอแก๊ส จำนวน 2 โครงการ มีกำลังผลิตรวม 7 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าขยะชุมชน จำนวน 4 โครงการ มีกำลังผลิตรวม 30 เมกะวัตต์ ทั้งนี้หากรวมกำลังผลิตทุกโครงการเป็น 67 เมกะวัตต์
โดยทั้งหมดบริษัทมีโรงไฟฟ้าอยู่ที่ท่าฉาง จำนวน 5 โครงการ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าไบโอแก๊ส จำนวน 2 โครงการ มีกำลังผลิต 7 เมกะวัตต์ ส่วนไบโอแมส จำนวน 3 โครงการมีกำลังผลิตโครงการละ 10 เมกะวัตต์ รวมทั้งหมด 30 เมกะวัตต์ แต่สัญญาขายไฟฟ้าประมาณ 20 เมกะวัตต์ มีระยะเวลาสัญญา 15-20 ปี ซึ่งบริษัทฯต้องซื้อวัตถุดิบประมาณ 40% จากในเครือข่าย และชุมชนรอบข้างที่บริษัทฯมีคอนแทคราว 2 แสนไร่
อีกทั้งบริษัทมีการชนะประมูลโรงไฟฟ้าขยะชุมชน 4 โครงการแรก โดยมีการขอ PPA ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ในการก่อสร้างมาช่วงไตรมาส 1/2567 และไตรมาส 2/2567 โดย 4 โครงการแรก ในส่วนของบางโรงจะเริ่มทยอย COD สิ้นปี 2568 และคาดว่าจะรับรู้รายได้เข้าเต็มประมาณต้นปี 2569 เป็นต้นไป
นายสืบตระกูล กล่าวอีกว่า สำหรับโรงไฟฟ้าที่ท่าฉาง จำนวน 5 โครงการ มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 1,100 ล้านบาท แต่โรงไฟฟ้าขยะชุมแค่ 4 โครงการจะสามารถสร้างรายได้ประมาณ 1,500 ล้านบาท ซึ่งรวมรายได้แล้วจะอยู่ที่ประมาณ 2,600 ล้านบาท ภายในช่วงปี 2569
อย่างไรก็ตามในส่วนของโรงไฟฟ้าขยะชุมชนราคาขายไฟสูงกว่าไบโอเมส เพราะภาครัฐต้องการส่งเสริมช่วยในเรื่องของด้านกำจัดของเสีย และกำจัดขยะ ทั้งนี้รายได้ของไบโอแมสจะอยู่ประมาณ 4.80 บาท แต่หากเป็นโรงไฟฟ้าขยะจะมีพรีเมียมอยู่ประมาณ 70 สตางค์ ราคาขายไฟจะอยู่ประมาณ 5.90 บาท ดังนั้นโรงไฟฟ้าขยะชุมชน 4 โครงการ สามารถขายไฟได้ประมาณ 30 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ในส่วนของโรงไฟฟ้าขยะชุมชนจากเดิมที่ชนะการประมูลไปแล้ว 4 โครงการ และจะมีเพิ่มเข้าใหม่อีก 3 โครงการ ซึ่งจะร่วมเป็น 7 โครงการ สำหรับ 3 โครงการใหม่ดังกล่าว ล่าสุดใน 2 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าขยะชุมชนพื้นที่ท่าจีน จังหวัดสมุทรสาคร มีกำลังการผลิต 9.9 เมกะวัตต์ และจังหวัดอุบลราชธานี มีกำลังผลิต 9.9 เมกะวัตต์ ได้มีการชนะการประกวดแล้ว ซึ่งบริษัทเตรียมเข้าทำสัญญาขอ PPA รวมถึงตรวจสอบสัญญากับภาครัฐ โดยคาดเสร็จสิ้นภายในปีนี้ทั้งหมด และมีแผนเริ่มดำเนินการก่อสร้างในปี 2568 กำหนดแล้วเสร็จพร้อม COD ปลายปี 2569 และต้นปี 2570
ส่วนโรงไฟฟ้าขยะชุมชนในพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี กำลังผลิตติดตั้ง 9.9 เมกะวัตต์ รอประกาศผลชนะช่วงประมาณไตรมาส 3/2567 หรือไตรมาส 4/2567 เป็นต้นไป ดังนั้นหากได้รับการคัดเลือกจาก อปท. จะทำให้บริษัทฯมีกำลังการผลิตรวมทุกโครงการกว่า 96.7 เมกะวัตต์เป็นไปตามเป้าหมาย
“ทั้งนี้บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ปี 2567 อยู่ที่ 1,050-1,100 ล้านบาท เติบโต 10% ถัดไปในปี 2568 คาดการณ์ว่ารายได้อยู่ที่ 1,200-1,300 ล้านบาท ขณะที่คาดการณ์รายได้ปี 2569 อยู่ที่ 2,500-2,600 ล้านบาท และในปี 2570 คาดการณ์รายได้อยู่ที่ 3,500 ล้านบาท” นายสืบตระกูล กล่าว
นายสืบตระกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนโครงการพลังงานลมและไฮโดรเจน บริษัทฯยังอยู่ระหว่างศึกษา M&A ประมาณ 10 โครงการที่เข้ามาให้เลือก คาดมีกำลังผลิตอยู่ที่ 10-30 เมกะวัตต์ เพื่อให้ศึกษาดูโครงสร้างต้นทุน รายได้ต่างๆ โดยได้ปรึกษาหารือกับคณะกรรมการ คาดว่าน่าจะอนุมัติได้ อาจจะมองลงทุนในต่างประเทศ อย่างประเทศเวียดนาม และประเทศกัมพูชา คาดได้ข้อสรุปภายในปีนี้
นอกจากนี้บริษัทวางงบลงทุนในช่วงปี 2567-2570 ไว้ประมาณ 9,500-10,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชน กำลังการผลิต 100 เมกะวัตต์ ส่วนที่เหลือจะใช้เงินทุนจากโรงไฟฟ้าขยะชุมชนไปขยายการลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กำลังการผลิตมากกว่า 20 เมกะวัตต์ ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการศึกษาในลักษณะการร่วมลงทุนกับพันธมิตร คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายใน 2 ปีจากนี้ไป