“กรภัทร” มอง SET ไซด์เวย์ คัด 13 หุ้นเด่น ลุ้นงบ Q2 สดใส หวังเงินกองทุน LTF ไหลเข้า
“กรภัทร วรเชษฐ์” มอง SET แกว่งไซด์เวย์ในกรอบ 1,365-1,380 จุด จับตาปัจจัยการเมืองวันนี้ พร้อมแนะนำ “Selective Buy” 13 หุ้นขนาดใหญ่ รับประโยชน์ความคืบหน้ากองทุน LTF และคาดกำไรไตรมาส 2/67 เติบโตต่อเนื่อง พ่วงอิงเศรษฐกิจจีน
นายกรภัทร วรเชษฐ์ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KKS เปิดเผยในรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันนี้ (23 พ.ค.67) ว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยวันนี้เป็นลักษณะการแกว่งตัวในกรอบแนวรับที่ 1,365 -1,361 จุด และแนวต้านที่ 1,380 จุด โดยมีปัจจัยทางการเมืองเรื่องของนายกรัฐมนตรีที่ต้องติดตามและอาจเป็นผลกระทบต่อตลาดหุ้น
โดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะมีการประชุมหารือประจำสัปดาห์ และเป็นที่คาดการณ์ว่าคำร้องของ 40 สว. เข้าพิจารณาในที่ประชุม ที่มีคำร้องให้ศาลวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรี ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี หากผลการตัดสินออกมาว่า นายเศรษฐา ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ตลาดหุ้นจะตอบรับในเชิงลบ โดยอาจปรับตัวลงไปอยู่ระดับ 1,350 จุด หากศาลฯ พิจารณารับ แต่ไม่หยุดปฏิบัติหน้าที่ ตลาดจะแกว่งตัวออกข้าง ไปตอบรับปัจจัยอื่นแทน ซึ่งถือว่าเป็นการคลายแรงกดดันเล็กๆ และหากศาลฯ ปฏิเสธไม่รับทั้งหมด คาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นจะตอบรับในเชิงบวก จึงต้องจับตาปัจจัยนี้ต่อไป
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยบวกที่จะช่วยหนุนดัชนีตลาดหุ้นให้ฟื้นตัวขึ้นได้ หลังจากความคืบหน้าเรื่องเงินลงทุนระยะยาวในประเทศที่จะเพิ่มขึ้น สำหรับการจัดตั้งกองทุน LTF ราว 3-5 แสนบาทต่อคนในการลดหย่อน และกรอบในการถือครอง 5-7 ปี ถือเป็นภาพบวกต่อตลาดฯ ในระยะยาว เนื่องจากจะได้รับเม็ดเงินในประเทศที่สามารถประคองตลาดได้ และไม่ต้องเผชิญความผันผวนของเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ ซึ่งน่าจะมีรายละเอียดของกองทุน LTF ออกมาในเร็วๆนี้
“คาดการณ์ว่าตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวดีขึ้นอย่างช้าๆ หลังคลายกังวลเรื่องสงครามตะวันออกกลาง ความไม่ชัดเจนทางงบฯ ภาครัฐ รวมถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 1/67 ที่ออกออกดีกว่าคาดการณ์ ประกอบกับความคืบหน้ากองทุน LTF ที่มีรายละเอียดออกมา จะช่วยให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวดีขึ้น อีกทั้งธนาคารกลางหรัฐ (เฟด) อาจจะเริ่มลดดอกเบี้ยไตรมาส 3/67 และเริ่มใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย น่าจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นบ้านเรา” นายกรภัทร กล่าว
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำเป็นการ “Selective Buy” โดยคัดเลือกหุ้นที่มีขนาดใหญ่ (Big Cap) ใน 3 ธีมดังนี้
1. หุ้นที่คาดการณ์ว่าจะได้รับประโยชน์ จากการจัดตั้งกองทุน LTF และอิงเศรษฐกิจในประเทศ ได้แก่ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL และ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT ซึ่งเป็นเป้าหมายของนักลงทุนสถาบัน ที่เริ่มเห็นการฟื้นตัว รับกำลังซื้อเพิ่มและการเบิกจ่ายงบฯ ของภาครัฐ ขณะที่หุ้นท่องเที่ยวก็ยังคงเติบโตโดดเด่น ได้แก่ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT และ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT
2. หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี สามารถทำกำไรในไตรมาส 1/67 ออกมาดีกว่าตลาดคาด และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องได้ในไตรมาส 2/67 คือ 1.) กลุ่มเครื่องดื่ม ที่มีทิศทางดีขึ้นต่อเนื่อง อาทิ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP, บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI และ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG 2.) กลุ่มอาหาร มีทิศทางผลประกอบการเติบโตได้ในไตรมาส 2/67 อาทิ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU, บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF และ บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) หรือ GFPT
ขณะเดียวกัน ก็ยังเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่จะได้รับประโยชน์ในช่วงหน้าฝน คือ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP
3. หุ้นที่อิงเศรษฐกิจจีนที่เร่งตัวขึ้น ได้แก่ บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL และบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP
นายกรภัทร กล่าวเพิ่มว่า กรณีของ บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX จากการรายงานผลประกอบการไตรมาส 1/67 ออกมาอ่อนแอกว่าคาดการณ์ ส่งผลให้ปรับฐานพักตัวลงมา ประกอบโปรเจคเรื่องยานยนต์ไฟฟ้าสะดุดจากงบฯ ภาครัฐ และผู้แข่งขันมากรายขึ้น จึงต้องประเมินระยะถัดไปในเรื่องของทิศทางผลประกอบการ หรือโอกาสที่จะได้รับงานใหม่ที่เข้ามาสนับสนุนให้บริษัทฯ เติบโตได้อีกหรือไม่