SCB EIC ลดยอดส่งออกปีนี้เหลือ 2.6% แม้ตัวเลข เม.ย.ขยายตัว 6.8%
SCB EIC ปรับลดประมาณการส่งออกไทยปี 67 เหลือ 2.60% แม้ขยายตัวได้ดี 6.8% ในเดือน เม.ย. เนื่องจากปริมาณการค้าโลกมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB EIC เปิดเผยว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยในเดือน เม.ย.67 อยู่ที่ 23,278.60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พลิกกลับมาขยายตัว 6.80% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังจากหดตัว 10.90% ในเดือนก่อนหน้า หากหักทองคำออกมูลค่าการส่งออกเดือนนี้ขยายตัวได้ดีถึง 9.60% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ มูลค่าการส่งออกหลังหักทั้งทองคำและปัจจัยฐานยังขยายตัวได้ดีถึง 3.80% เทียบกับเดือนก่อนหน้าแบบปรับฤดูกาล ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวแบบ % เทียบกับเดือนก่อนหน้าแบบปรับฤดูกาลสูงที่สุดในรอบ 2 ปี 4 เดือน สะท้อนให้เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของการส่งออกไทยที่ดีขึ้นมากในระยะสั้น ในภาพรวมการส่งออกไทยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 67 มีมูลค่า 94,273.90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 1.40%
โดยภาพรวมการส่งออกรายสินค้าขยายตัวในบางกลุ่ม นำโดย 1) สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรพลิกกลับมาขยายตัวที่ 12.70% หลังจากหดตัว 9.90% โดยอาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปเป็นสินค้าหลักที่ขยายตัว ขณะที่น้ำตาลทรายเป็นสินค้าสำคัญที่หดตัว
2) สินค้าอุตสาหกรรมพลิกกลับมาขยายตัว 9.20% จากที่หดตัว 12.30% ในเดือนก่อน โดยเฉพาะรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ขณะที่อากาศยาน ยานอวกาศ และส่วนประกอบเป็นสินค้าสำคัญที่หดตัว 3) สินค้าเกษตรหดตัว 3.80% จากที่ขยายตัวเล็กน้อยที่ 0.10% ในเดือนก่อน โดยเฉพาะผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง 4) สินค้าแร่และเชื้อเพลิงหดตัว 9.20% ต่อเนื่องจาก 5% ในเดือนก่อน
ขณะที่ภาพรวมการส่งออกขยายตัวในเกือบทุกตลาดสำคัญ โดย 1) ตลาดสหรัฐฯ ขยายตัว 26.10% เร่งขึ้นจาก 2.50% ในเดือนก่อนอย่างมาก โดยการส่งออกสินค้าสำคัญ 15 ลำดับแรกของตลาดนี้ขยายตัว 13 รายการ โดยเฉพาะอาหารสัตว์เลี้ยงและเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ที่ขยายตัว 133.30% และ 90.80% ตามลำดับ
2) ตลาดอินเดีย พลิกกลับมาขยายตัว 13.30% จากที่หดตัว 5.80% ในเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะอัญมณีและเครื่องประดับที่ขยายตัว 126.20% 3) ตลาดยุโรป พลิกกลับมาขยายตัว 8.80% จากที่เคยหดตัว 3.20% ในเดือนก่อนหน้า ในขณะที่ 4) ตลาดจีนหดตัว 7.80% ต่อเนื่องจาก 9.70% ในเดือนก่อน
5) ตลาดเมียนมาหดตัว 17.10% ต่อเนื่องจาก 14.80% ในเดือนก่อน คาดการณ์ว่าเป็นผลจากความขัดแย้งบริเวณใกล้เคียงกับสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาแห่งที่ 2 (แม่สอด) ซึ่งเป็นเส้นทางการส่งออกสินค้ามากถึง 74% ของไทยไปยังเมียนมา ที่ได้มีผลกดดันการส่งออกไปเมียนมาต่อเนื่องมาถึงเดือน เม.ย. แม้จะมีเส้นทางอื่นที่สามารถใช้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าวได้
ทั้งนี้ มูลค่าการนำเข้าสินค้าในเดือน เม.ย.67 อยู่ที่ 24,920.30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวต่อเนื่อง 8.30% จากปีก่อน เทียบกับ 5.60% ในเดือนก่อน โดยสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปกลับมาขยายตัว 19.80% สินค้าทุนขยายตัวต่อเนื่อง 17.80% สินค้าอุปโภคบริโภคกลับมาขยายตัว 8%
ขณะที่สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่งหดตัวต่อเนื่อง 15.10% และสินค้าเชื้อเพลิงกลับมาหดตัว 18.10% สำหรับภาพรวมการนำเข้ารายประเทศขยายตัวจาก 3 ตลาดหลัก คือ 1) ตลาดฮ่องกงขยายตัว 183.90% จากการนำเข้าเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ ที่ขยายตัวถึง 222.90% 2) ตลาดยุโรป กลับมาขยายตัวได้ 16.30% และ 3) ตลาดจีน กลับมาขยายตัว 10.20%
โดยดุลการค้าระบบศุลกากรในเดือนนี้ขาดดุล 1,641.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าในเดือน มี.ค.67 ที่ 1,163.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับภาพรวม 4 เดือนแรกของปี 67 ดุลการค้าขาดดุล 6,116.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ตาม มูลค่าการส่งออกไทยทั้งปีนี้คาดการณ์ว่าจะพลิกกลับมาขยายตัวได้จากแรงสนับสนุนหลายด้าน 1) เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ 2.70% สูงกว่าคาดการณ์เดิมที่ 2.60% เพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจจีนและสหรัฐฯ ที่เป็นคู่ค้าสำคัญของไทย โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มดีขึ้นจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังขยายตัวได้ดี ขณะที่เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในระยะสั้นตามวัฏจักรการผลิตและการส่งออก และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ
2) ภาคการผลิตที่เกี่ยวเนื่องกับการค้าระหว่างประเทศจะกลับมามีบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกมากขึ้นในปีนี้ เห็นจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตโลกที่อยู่เหนือระดับ 50 สามเดือนต่อเนื่องหลังจากหดตัวมานาน นอกจากนี้ดัชนี PMI ยอดคำสั่งซื้อใหม่จากต่างประเทศ (Export order) ยังปรับเพิ่มขึ้นอยู่เหนือระดับ 50 เป็นครั้งแรกในรอบ 26 เดือนในเดือน เม.ย. นี้ ขณะที่ดัชนี PMI ปริมาณผลผลิตในอนาคต (Future output) ขยายตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วแม้จะชะลอตัวลงบ้าง สะท้อนการขยายตัวของภาคการผลิตโลกในระยะข้างหน้า
และ 3) ราคาสินค้าส่งออกที่ดี เช่น ราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามปริมาณผลผลิตในตลาดโลกที่ลดลงจากภัยแล้งและนโยบายควบคุมการส่งออกสินค้าในบางประเทศ รวมถึงราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับสูงตามความเสี่ยงการโจมตีโรงกลั่นน้ำมันของรัสเซียโดยจากยูเครน สถานการณ์ความไม่แน่นอนในตะวันออกกลาง รวมถึงความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้มูลค่าการส่งออกในเดือน พ.ค. และไตรมาสที่ 2 มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากเดือน เม.ย. สอดคล้องกับข้อมูลในการแถลงการณ์ของกระทรวงพาณิชย์ที่คาดว่ามูลค่าการส่งออกจะขยายตัวได้ในเดือน พ.ค. และขยายตัวอย่างน้อย 1% ในไตรมาสที่ 2
อย่างไรก็ตาม SCB EIC ปรับลดประมาณการการส่งออกไทยในปี 67 เป็น 2.60% จาก 3.10% เนื่องจากปริมาณการค้าโลกมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ แม้ว่าเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดีขึ้นกว่าคาดการณ์
โดยองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ เช่น องค์การการค้าโลก (WTO) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก (World Bank) ได้ปรับตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของปริมาณการค้าโลกในปี 67 ลดลง จากปัญหาการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้น ส่งผลให้มีการใช้มาตรการกีดกันทางการค้ามากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศคู่ค้าสำคัญ
รวมทั้งปัญหาห่วงโซ่อุปทานจากความแห้งแล้งของคลองปานามาและการโจมตีของกลุ่มกบฏฮูตีบริเวณทะเลแดงที่ยังไม่สิ้นสุดลง ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งสำคัญของเอเชียไปยังสหรัฐฯ และยุโรป และกดดันให้ค่าขนส่งสินค้าปรับสูงขึ้นอีกครั้งหลังสายการเดินเรือต่าง ๆ กลับมาหลีกเลี่ยงการเดินทางผ่านเส้นทางทะเลแดง (คลองสุเอซ) และใช้เส้นทางการเดินเรือผ่านแหลมกู๊ดโฮป ประเทศแอฟริกาใต้ ที่มีต้นทุนและระยะเวลาขนส่งสูงขึ้นแทนอีกครั้ง
นอกจากปริมาณการค้าโลกจะมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่ำกว่าคาดแล้ว SCB EIC ยังพบว่าการส่งออกไทยในช่วงที่ผ่านมาฟื้นตัวสอดคล้องกับปริมาณการค้าโลกได้น้อยลงเรื่อย ๆ สะท้อนจากอัตราส่วนของการขยายตัวของมูลค่าส่งออกไทยเทียบการขยายตัวของปริมาณการค้าโลกที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการส่งออกในกลุ่มสินค้าแผงวงจรไฟฟ้า เครื่องจักรกล และรถยนต์และส่วนประกอบ ซึ่งมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ในระดับที่ติดลบ ชี้ให้เห็นว่าในขณะที่ปริมาณการค้าโลกฟื้นตัวมากขึ้น การส่งออกในกลุ่มสินค้าดังกล่าวกลับหดตัวลง
พร้อมประมาณการมูลค่าส่งออกของไทยทั้งปีที่ 2.60% เติบโตได้ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2.80%) ซึ่งจะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้เพิ่มขึ้นในปีนี้จากที่หดตัวเล็กน้อยในปีก่อน