AAI กางแผนปี 67 ควัก 430 ล้านบาท ผุดคลังสินค้าเฟส 2 ปักเป้ารายได้ปีนี้แตะ 6.5 พันลบ.
AAI กางแผนธุรกิจปี 67 วางงบลงทุน 430 ล้านบาท ลุยสร้างคลังสินค้าอัตโนมัติแห่งที่ 2 รองรับการเติบโตของยอดขายในอนาคต พ่วงปรับปรุงอาคาร เพื่อขยายส่วนบรรจุหีบห่อ คาดแล้วเสร็จไตรมาส 1/68 พร้อมย้ำเป้ารายได้ปีนี้แตะ 6.5 พันล้านบาท
นางสาววรัญรัชต์ อัสสานุพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงิน บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 24 พ.ค. 67 ว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/67 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 242 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 234.80% จากไตรมาส 1/66 อยู่ที่ 72 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 20.80% แตะระดับ 309 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นทั้งจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 14.70% และจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 9.30% อยู่ที่ 130 ล้านบาท
ทั้งนี้ อัตรากำไรดีขึ้นเป็นผลมาจากยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงในไตรมาส 1/67 เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในตลาดกลุ่มประเทศยุโรป ขณะที่ยอดขายกลุ่มอาหารพร้อมรับประทานบรรจุภาชนะปิดผนึกลดลง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดหลักที่บริษัทฯ ส่งออกผลิตภัณฑ์ในกลุ่มดังกล่าว
สำหรับรายได้ของบริษัทฯ ในไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 1,489 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 1,391 ล้านบาท เนื่องจากความต้องการสินค้าในกลุ่มอาหารสัตว์เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับลูกค้าเจ้าของแบรนด์ใหญ่มีความต้องการออกสินค้าตัวใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการเจ้าของสัตว์เลี้ยง รวมทั้งเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด จน AAI สามารถทำรายได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากตลาดยุโรป อีกทั้งยังได้ประโยชน์จากที่ค่าเงินเหรียญสหรัฐที่แข็งค่าขึ้น
ขณะที่ยอดขายในกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นประมาณ 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขายอาหารกลุ่มสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น 23.80% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายอดขายในกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของตลาดการส่งออกของไทย โดยในไตรมาส 1/67 บริษัทฯ ได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่จำนวน 62 รายการ โดยแบ่งเป็น ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มแมว 42 รายการ และผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอาหารสุนัข 20 รายการ
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาส 2/67 บริษัทฯ มั่นใจว่าจะดีขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นอย่างมาก เนื่องจากไตรมาส 2/66 เป็นไตรมาสที่ผลประกอบการของบริษัทฯ ไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากอยู่ในช่วงขาลงของตลาด OEM และการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง โดยบริษัทฯ มั่นใจว่าในไตรมาส 2/67 และไตรมาสต่อๆ ไป อาหารสัตว์เลี้ยงจะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการเติบโตจากกลุ่ม OEM เป็นหลัก จากการที่บริษัทฯ ได้มีการ Develop ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ กับลูกค้า
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในช่วงที่เหลือของปี 67 มองว่าอัตรากำไรมีโอกาสปรับตัวลง เนื่องจากปัจจัยในหลายๆ ด้าน อาทิ ราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น และอัตราแลกเปลี่ยนที่มีแนวโน้มแข็งค่า โดยบริษัทฯ ยังคงเป้าหมายรายได้ของปี 67 ไว้ที่ 6,500 ล้านบาท หรือเติบโต 19% จากปีที่ผ่านมาที่ทำได้ 5,439 ล้านบาท
โดยเป็นการเติบโตจากกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง 5,400 ล้านบาท หรือเติบโต 24% จากปีก่อนที่ทำได้ 4,400 ล้านบาท และกลุ่มอาหารพร้อมรับประทานบรรจุภาชนะปิดผนึก ที่น่าจะสามารถรักษารายได้ระดับเดียวกับปีก่อนที่ทำไว้ 1,100 ล้านบาท ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นของปี 67 บริษัทฯ คาดการณ์ว่าจะสามารถทำได้ที่ประมาณ 17-18% ซึ่งดีกว่าเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ในตอนแรก
ทั้งนี้บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างรายได้ในกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงได้ตามเป้าหมาย และมีแนวโน้มที่ดีกว่าเป้าหมาย ขณะที่กลุ่มอาหารพร้อมรับประทานก็ถือว่ายังมีความท้าทายในการทำให้ได้ตามเป้าหมาย อย่างไรก็ตามไม่ได้เป็นข้อกังวลของบริษัทฯ เนื่องจากบริษัทฯ มองว่าหากไม่เป็นไปตามเป้า บริษัทฯ จะสามารถสร้างรายได้จากกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงขึ้นมาชดเชยได้ ซึ่งโดยภาพรวมถือว่าจะเป็นผลดีต่อผลประกอบการโดยรวมของบริษัทฯ
สำหรับแผนการดำเนินงานและงบลงทุนในปี 67 ของบริษัทฯ คาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 430 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในโครงการลงทุนใหญ่ 2 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการปรับปรุงอาคาร เพื่อขยายส่วนบรรจุหีบห่อ เพื่อรองรับกำลังการผลิตในปัจจุบัน และการเติบโตของกำลังการผลิตในช่วงที่เหลือของปี 67 ไปจนถึงปี 68 โดยโครงการดังกล่าวจะใช้งบลงทุนประมาณ 70 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในเดือน มิ.ย. 67 และจะดำเนินการแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 1/68 ทั้งนี้งบลงทุนของบริษัทฯ จะเป็นงบต่อเนื่อง บางส่วนใช้ในปีนี้ และบางส่วนจะนำไปใช้ในปีหน้า
2.โครงการสร้างคลังสินค้าอัตโนมัติ (Automatic warehouse) แห่งที่ 2 ของโรงงาน หลังจากที่ได้ชะลอโครงการไปเมื่อปี 66 โดยคาดว่าจะมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 6,000 pallets และใช้งบลงทุนทั้งหมดไม่เกิน 400 ล้านบาท ซึ่งน่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในช่วงปลายปี และคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมใช้งานในช่วงไตรมาส 1/69 โดยบริษัทฯ คาดว่าจะรองรับการเติบโตของยอดขายในอนาคต รวมทั้งยอดขายในปี 69 ของบริษัทฯ
อนึ่ง ปัจจุบันบริษัทฯ มีมาร์เก็ตแคปอยู่ประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 323 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีโรงงานผลิตทั้งหมด 2 แห่ง ได้แก่ จ.สมุทรสาคร ซึ่งเป็นโรงงานของบริษัทฯ เอง และที่ประเทศจีน ซึ่งเป็นของกิจการร่วมค้าของบริษัทฯ และมีกำลังการผลิตในปัจจุบันแบ่งเป็น กำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก อยู่ที่ 56,000 ตัน กำลังการผลิตอาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก อยู่ที่ 17,500 ตัน ส่วนกำลังการผลิตในกลุ่มผลพลอยได้ อยู่ที่ 6,000 ตันต่อปี และโรงงาน JV ในประเทศจีน มีกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเม็ด อยู่ที่ 18,000 ตันต่อปี