SEI จ่อขายไอพีโอ 50 ล้านหุ้น ระดมทุนเข้าเทรด “mai” ไตรมาส 3
SEI เตรียมเสนอขายหุ้นไอพีโอ 50 ล้านหุ้น ระดมทุนเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ “mai” หมวดธุรกิจอุปโภคบริโภค ภายในไตรมาส 3/67 หวังใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจ-เพิ่มศักยภาพการให้บริการเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์
นายกานต์ ปุญญเจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสอีไอ เมดิคัล จำกัด (มหาชน) หรือ SEI เปิดเผยว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจเป็นตัวแทนจำหน่าย และให้เช่าเครื่องมือทางการแพทย์ วัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ และเครื่องมือวิทยาศาสตร์แบบครบวงจร (One stop service ) โดยบริษัทฯ สั่งซื้อผลิตภัณฑ์จากผู้จำหน่ายทั้งในประเทศ และนำเข้าจากผู้ผลิตต่างประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา, เยอรมนี, ญี่ปุ่น,เกาหลี และจีน เพื่อจัดจำหน่ายให้แก่โรงพยาบาลรัฐบาล สถาบันการศึกษาแพทย์ โรงพยาบาลเอกชน สถานพยาบาลของเอกชน คลินิก รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ในประเทศ
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้บริการต่างๆ แบบครบวงจร อาทิ บริการซ่อมบำรุงเครื่องมือทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ (Maintenance Service) เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้งานสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงจัดสอนวิธีการใช้งานเครื่องมือทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ให้แก่ลูกค้า เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้งานสินค้า และสามารถใช้ประโยชน์จากสินค้าได้อย่างเหมาะสม พร้อมทั้งมีให้บริการให้เช่า
โดยบริษัทฯ ได้มีการดำเนินการไปแล้วบางส่วนในช่วงไตรมาส 3/2566 ที่ผ่านนมา เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าที่มีงบประมาณในการซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ที่ค่อนข้างจำกัด เนื่องจากเครื่องมือทางการแพทย์ส่วนใหญ่มีมูลค่าสูง จึงมีโอกาสที่จะใช้บริการให้เช่า เพื่อกระจายการชำระเงินเป็นเงินงวดสำหรับการซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ โดยการให้บริการให้เช่าของ SEI จึงเป็นการเอื้ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น และการดำเนินธุรกิจดังกล่าวของบริษัทฯ มีแนวโน้มที่จะเติบโตในอนาคต จากการเปลี่ยนแปลงไปของพฤติกรรมลูกค้าและมีข้อจำกัดในด้านต่างๆ
สำหรับสินค้าเครื่องมือทางการแพทย์ และวิทยาศาสตร์ แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มสินค้าด้านกล้องส่องตรวจ (Endoscope) เป็นกลุ่มเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้ในห้องส่องกล้องสำหรับการตรวจทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ และโสตศอนาสิก, 2. กลุ่มสินค้าสำหรับผู้ป่วยทารกแรกเกิด (Neonatal Care) เป็นกลุ่มเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้ดูแลทารกแรกเกิดปกติที่มารดาขาดความพร้อมในการดูแล และทารกที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะวิกฤตในระยะแรกหลังคลอด
3.กลุ่มสินค้าด้านความงาม (Aesthetic) เป็นกลุ่มเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้สำหรับเสริมความงามทางร่างกาย, 4. กลุ่มสินค้าด้านการผ่าตัด (Surgery) เป็นกลุ่มเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้ในห้องผ่าตัด 5. กลุ่มสินค้าอุปกรณ์และเครื่องมือวิทยาศาสตร์ (Laboratory) เป็นกลุ่มเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่ใช้ในการตรวจวิเคราะห์ วัดอนุภาค เก็บรักษาตัวอย่าง และบ่มเพาะเชื้อเพื่อการทำวิจัย
โดยปัจจุบัน SEI ได้รับการแต่งตั้งเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าเครื่องมือทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ ภายใต้ตราสินค้าของผู้ผลิตทั้งหมด 17 ราย จาก 11 ประเทศ และได้จดทะเบียนสถานประกอบการนำเข้าเครื่องมือทางการแพทย์ ในประเทศไทยกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สังกัดกระทรวงสาธารณะสุข ซึ่งสามารถแบ่งเครื่องมือทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์
ทั้งนี้บริษัทฯ มุ่งสู่การเป็นผู้นำทางด้านการจัดจำหน่าย และให้บริการทางด้านเครื่องมือทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล พร้อมกับการใหบริการที่ครบวงจรสำหรับลูกค้า เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ด้านสุขภาพของประชากร ผ่านนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยตามวิสัยทัศน์ที่วางไว้ ซี่งสอดรับกับพันธกิจที่มุ่งเน้นการให้บริการและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ที่ครอบคลุมการดูแลด้านสุขภาพ และตอบสนองความต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านสาธารณสุขของประชากรทุกช่วงวัย โดยแสวงหาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ล้ำสมัยและได้มาตรฐานสากล
สำหรับวัตถุประสงค์การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ เพื่อเป็นการเสริมศักยภาพการให้บริการลูกค้าเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจ สั่งซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงการเพิ่มศักยภาพ และความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้จะนำเงินระดมทุนเพื่อใช้ในโครงการร่วมลงทุนกับบริษัทอื่นที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องมือทางการแพทย์ หรือลงทุนด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ส่งเสริมธุรกิจของบริษัทฯ สู่การสร้างศักยภาพทางการเงิน และสร้างโอกาสการขับเคลื่อนทางธุรกิจสู่การยกระดับการให้บริการเครื่องมือและนวัตกรรมทางการแพทย์ให้ครบวงจรในทุกมิติ
ทั้งนี้ หากประเมินจากภาพรวมอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ในไทย ยังมีแนวโน้มการเติบโตได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นได้จากการจัดสรรงบประมาณของประเทศเพื่อใช้งานในกระทรวงสาธารณสุขในปี 2567 ที่เพิ่มขึ้น 13,462.3 ล้านบาท หรือคิดเป็น 8.8% จากปี 2566 ดังนั้นมองว่า SEI ได้อานิสงส์เชิงบวกจากการจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้น
โดยมาจากการที่บริษัทฯ เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมเครื่องมือทางการแพทย์ของประเทศไทย เนื่องจากบริษัทฯ จัดหาสินค้าเครื่องมือทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ของผู้ผลิตชั้นนำจากต่างประเทศ โดยการสั่งซื้อจากตัวแทนของผู้ผลิตในประเทศ และนำเข้าโดยตรงจากผู้ผลิตในต่างประเทศ และจัดจำหน่ายให้แก่ลูกค้าในประเทศ อาทิ โรงพยาบาลรัฐบาล สถาบันการศึกษาแพทย์ โรงพยาบาลเอกชน สถานพยาบาลของเอกชน คลินิก เป็นต้น
ด้านนายวรวัสส์ วัสสานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อวานการ์ด แคปปิตอล จำกัด กล่าวในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ SEI ว่า SEI เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 50 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็น 29.41% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดธุรกิจอุปโภคบริโภค ภายในไตรมาส 3/2567 นี้ โดยปัจจุบัน SEI มีทุนจดทะเบียนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 60 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 120 ล้านหุ้น มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิภายหลังการหักภาษี
โดย SEI มีจุดเด่นความเชี่ยวชาญการเป็นผู้จัดจำหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์ที่ยาวนานกว่า 30 ปี รวมถึงการให้บริการติดตั้ง ซ่อมบำรุง ตลอดจนการให้บริการหลังการขาย เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า ทำให้ SEI มีฐานลูกค้าทั่วประเทศ ส่งผลให้ SEI ได้รับความไว้วางใจในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิต และได้รับการต่ออายุสัญญาแต่งตั้งเป็นตัวแทนจำหน่าย (Distributor Agreement) จากผู้ผลิตอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 10 ปี
ดังนั้นด้วยความสามารถและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการของบริษัทฯ ประกอบกับความเชื่อมั่นจากผู้ผลิต และลูกค้า จึงตอกย้ำถึงศักยภาพการแข่งขันที่จะก้าวสู่การเป็นหนึ่งในผู้จำหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์ชั้นนำของประเทศไทย จากความโดดเด่นดังกล่าวข้างต้นได้สะท้อนออกมาในตัวเลขของผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2564-2566) ดังนี้ บริษัทฯ มีรายได้รวม 374.00 ล้านบาท 320.55 ล้านบาท และ 393.57 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่มีกำไรสุทธิปี 2564-2566 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 16.21 ล้านบาท 17.86 ล้านบาท และ 21.87 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 4.28%, 5.54% และ 5.55% ของรายได้รวม ตามลำดับ