PTT ตีปีก! โรงแยกก๊าซพุ่ง-รับเอราวัณผลิตเต็ม 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน

PTT ตีปีก! โรงแยกก๊าซกำลังผลิตพุ่ง รับปริมาณผลิตแหล่ง G1/61 (เอราวัณ) เต็มพิกัด 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ขณะที่ดีมานด์ก๊าซและน้ำมันขยับขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ด้านธุรกิจไฟฟ้ารับมาร์จิ้นพุ่ง ต้นทุนลด โบรกฯ ให้ราคาเป้าหมาย 38.05 บาท จาก 21 โบรกเกอร์


นายธนพล ประภาพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายผู้ลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2567 คาดว่าจะยังเติบโตต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2567 ที่มีรายได้รวม 796,595 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 28,968 ล้านบาท หลัก ๆ ผลการดำเนินงานของ ปตท.ยังขึ้นอยู่กับราคาผลิตภัณฑ์ ทั้งก๊าซธรรมชาติ น้ำมันดิบ และปิโตรเคมี ซึ่งมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 1/2567

โดยเฉพาะทิศทางธุรกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ ในด้านธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ E&P ของบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP คาดว่าปริมาณการขายเฉลี่ยปี 2567 จะปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อน มาจากกำลังการผลิตก๊าซในแหล่ง G1/61 (แหล่งเอราวัณ) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน รวมทั้ง ปตท.สผ.ยังควบคุมต้นทุนให้อยู่ในระดับที่แข่งขันได้ อย่างไรก็ตาม คาดราคาขายเฉลี่ยปีนี้ลดลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับปีก่อนจากสัดส่วนก๊าซฯ แหล่ง G1/61 ที่เข้ามาเพิ่มเติม

ด้านธุรกิจก๊าซฯ ปีนี้ แม้ว่าจะได้รับประโยชน์จากราคา Spot LNG ที่ลดลง คาดเฉลี่ยปีนี้ 9.7-10.7 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู แต่การปรับโครงสร้างราคาก๊าซฯ ส่งผลให้มาร์จิ้นของธุรกิจก๊าซฯ ลดลง รวมทั้งต้นทุนโรงแยกก๊าซฯ ปรับเพิ่มขึ้น จากการปรับโครงสร้างราคาก๊าซเป็นรูปแบบ Single Pool Gas Price แต่ด้วยราคา Spot LNG ที่ลดลง ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดการณ์ รวมทั้งดีมานด์ก๊าซฯ ในประเทศปีนี้จะปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว แต่จากปริมาณการผลิตจากแหล่ง G1/61 ที่สูงขึ้น จะทำให้กำลังการผลิตโรงแยกก๊าซฯ สูงขึ้นด้วย

ทั้งนี้แม้ว่าขณะนี้ธุรกิจปิโตรเคมียังได้รับแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจโลก ขณะที่ธุรกิจก๊าซฯ ต้นทุนปรับลดลง เนื่องจากราคาน้ำมัน Spot LNG ปรับลดลง แต่ ปตท.ยังมีความเสี่ยงจากการปรับโครงสร้างราคาก๊าซเป็นรูปแบบ Single Pool Gas ขณะเดียวกัน ปตท.คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบ เฉลี่ยปีนี้ที่ 79-89 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

ขณะที่ธุรกิจน้ำมันปีนี้ คาดว่าปริมาณการขายจะฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจตามตัวเลข GDP ของไทยที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น พบว่าค่าการกลั่นยังได้รับแรงกดดันจากเศรษฐกิจ รวมถึงกำลังการผลินที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ ทำให้ค่าการกลั่นปรับลดลง เมื่อเทียบกับปีก่อน รวมถึงการปิดซ่อมบำรุงตามแผนในช่วงปลายปีนี้ คาดค่าการกลั่นสิงคโปร์ (SG GRM) ปีนี้เฉลี่ย 5.7-6.7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

ส่วนของธุรกิจปิโตรเคมี แม้ว่าภาพรวมราคาขายผลิตภัณฑ์จะปรับตัวดีขึ้น แต่สเปรดยังได้รับแรงกดดันจากซัพพลายใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในตลาด คาดว่าดีมานด์จะฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ขณะที่ธุรกิจไฟฟ้า คาดว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศจะฟื้นตัวตามเศรษฐกิจที่ดีขึ้น รวมถึงมาร์จิ้นมีแนวโน้มดีขึ้นจากต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่ลดลง นอกจากนี้ในส่วนของธุรกิจใหม่ โดยธุรกิจ EV พบว่าดีมานด์รถยนต์ EV ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนธุรกิจ Life science ปตท.ยังคงรักษาระดับปริมาณการขายยา ที่จำหน่ายทั้งเอเชียและสหรัฐฯ ในระดับใกล้เคียงเดิม

สำหรับความคืบหน้าการขยายธุรกิจ EV ของกลุ่ม ปตท. หลังจากเมื่อปลายปี 2566 ได้เปิดโรงงานและเปิดตัวผลิตภัณฑ์แบตเตอรี่ของบริษัท เอ็นวี โกชั่น จำกัด (NV Gotion) ปัจจุบันได้มีการส่งมอบแบตเตอรี่ให้กับลูกค้าแล้ว และได้จัดตั้งบริษัท JV เพื่อนำเข้ารถจักรยานยนต์ไฟฟ้า มีแผนจะเริ่มส่งมอบในปีนี้ รวมถึงมีแผนจ้าง OEM ในประเทศไทย เพื่อผลิตและประกอบในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า และในอนาคตจะพิจารณาจัดตั้งโรงงานผลิตเอง

นอกจากนี้ บริษัท นีโอโมบิลิตี้ เอเชีย จำกัด (Neo Mobility Asia)  ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ Arun Plus  ถือหุ้น 100% ทาง  Ze Mobility Plus ดำเนินธุรกิจเป็นตัวแทนจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้ายี่ห้อ ZEEKR (ZEEKR Dealer) และบริษัท X Mobility (Thailand) ดำเนินธุรกิจเป็นผู้จัดจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้ายี่ห้อ XPENG (XPENG Distributor) ได้เปิดตัวรถแล้ว 2 แบรนด์ดังกล่าวในงานมอเตอร์โชว์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา จะเริ่มส่งมอบรถในปีนี้ ส่วนโรงงานอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้า คาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2568

อย่างไรก็ตามรายงานข้อมูลจาก LSEG Consensus ประมาณการรายได้รวม PTT งวดปี 2567 ที่ 3,119,964.74 ล้านบาท ประมาณการกำไรสุทธิ งวดปี 2567 ที่ 97,711.15 ล้านบาท ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 38.05 บาท จาก 21 โบรกเกอร์

Back to top button