“ดาวโจนส์” ปิดร่วง 411 จุด กังวล “บอนด์ยีลด์” พุ่งต่อเนื่อง
ดัชนีดาวโจนส์ปิดร่วง 411.32 จุด นักลงทุนกังวล “บอนด์ยีลด์” ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง พร้อมจับตาการเปิดเผยดัชนี PCE สหรัฐวันศุกร์นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 400 จุดในวันพุธ (29 พ.ค.67) โดยตลาดถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับช่วงเวลาในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 38,441.54 จุด ลดลง 411.32 จุด หรือ -1.06%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,266.95 จุด ลดลง 39.09 จุด หรือ ลดลง 0.74% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 16,920.58 จุด ลดลง 99.30 จุด หรือ ลดลง 0.58%
ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 สัปดาห์ที่ 4.60% หลังจากกระทรวงการคลังสหรัฐได้เปิดประมูลพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 5 ปี วงเงิน 7 หมื่นล้านดอลลาร์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (28 พ.ค.67) แต่ได้รับการตอบรับอย่างซบเซาในตลาด โดย Bid-to-Cover ratio ลดลงสู่ระดับ 2.3 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ระดับ 2.45 เท่า
ส่วนดัชนี CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ พุ่งขึ้น 10.53% แตะที่ระดับ 14.28 ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ
โดยการปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นพันธบัตรที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยจำนองของสหรัฐด้วยนั้นจะทำให้ผู้บริโภคมีเงินสำหรับการใช้จ่ายลดน้อยลง ทำให้ค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินกู้จำนองเพิ่มมากขึ้น และทำให้บริษัทต่างๆ เผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุนและลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน
นอกจากนี้ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับขนาดและช่วงเวลาในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดยังคงเป็นปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อตลาดล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวในปีนี้ โดยอาจจะเกิดขึ้นในเดือนพ.ย.หรือเดือนธ.ค. จากก่อนหน้านี้ที่เคยคาดว่าเฟดอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลายครั้ง
ขณะที่ตลาดได้รับแรงกดดันมากขึ้นหลังจากเฟดเปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจหรือ Beige Book ซึ่งระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐยังคงขยายตัวตั้งแต่ในช่วงต้นเดือนเม.ย.จนถึงกลางเดือนพ.ค. แต่บริษัทต่าง ๆ มีมุมมองเป็นลบมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางในอนาคต ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อปรับตัวเล็กน้อย
หุ้นทั้ง 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มอุตสาหกรรม ร่วงลง 1.76% และ 1.42% ตามลำดับ
หุ้นกลุ่มสายการบินร่วงลง นำโดยหุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ ดิ่งลง 13.50% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์กำไรในไตรมาส 2
หุ้นมาราธอน ออยล์ (Marathon Oil) พุ่งขึ้น 8.40% หลังจากบริษัทโคโนโคฟิลลิปส์ (ConocoPhillips) ประกาศว่าจะเข้าซื้อกิจการมาราธอน ออยล์ในรูปของหุ้นทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าสูงกว่าราคาตลาดของมาราธอน ออยล์ซึ่งอยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์เพียงเล็กน้อย แต่ข่าวดังกล่าวได้ฉุดหุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ ร่วงลง 3.10%
นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐในวันศุกร์นี้ (31 พ.ค.) เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้กำหนดเวลาในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)