“บลูมเบิร์ก” ตีบทความ “ซิตี้กรุ๊ป-โนมูระ” ห่วงการเมืองกระทบ “ดิจิทัลวอลเล็ต-เศรษฐกิจไทย”
“ซิตี้กรุ๊ป-โนมูระ” หวั่นสถานการณ์การเมืองไทยกระทบนโยบาย “ดิจิทัลวอลเล็ต” ของรัฐบาล “เศรษฐา” เสี่ยงทำให้เกิดผลกระทบกับระบบเศรษฐกิจ
ผู้สื่อข่าวอ้างอิงจากสื่อต่างประเทศ รายงานว่าวันนี้ (31 พ.ค.67) นักเศรษฐศาสตร์ของซิตี้กรุ๊ป ระบุถึงกรณีความผิดทางกฎหมายของ นายเศรษฐา ทวีสิน และนายทักษิณ ชินวัตร ส่งสัญญาณว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์การเมืองที่ไม่สงบครั้งใหม่ที่อาจทำให้นโยบายเศรษฐกิจบางอย่างต้องถูกเลื่อนไป โดยหากมองทางออกที่เป็นกลาง (Base Case) คาดการณ์ว่าจะยังไม่มีการนำมาตรการดิจิทัลวอลเล็ตมาใช้ในตอนนี้
ขณะเดียวกันทั้ง วาณิชธนกิจชื่อดังระดับโลกคือ โนมูระ และ ซิตี้กรุ๊ป มองว่ารัฐบาลนายเศรษฐาจะต้องเผชิญกับความท้าทายในการจัดหาเงินทุนสำหรับการแจกจ่ายเงินดิจิทัล 10,000 บาท แก่ประชาชน 50 ล้านคน ที่ตั้งเป้าว่าจะเริ่มต้นในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ นอกจากนั้นแล้ว การของบเพิ่มอีก 1.20 แสนล้านบาทเพื่อมาช่วยเป็นแหล่งเงินทุนให้กับดิจิทัลวอลเล็ตนั้นยังมีความไม่แน่นอนอยู่เช่นกันเนื่องจากสส. และสว.บางกลุ่มยังเมินเฉยต่อไอเดียนี้อยู่ อย่างไรก็ดี แผนการจ่ายเงินดิจิทัลวอลเล็ตนี้เป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ที่นายเศรษฐาตั้งใจใช้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทยที่มีการขยายตัวในระดับต่ำกว่า 2% มานานหลายปี
นักเศรษฐศาสตร์จากโนมูระ ยังระบุว่า ไม่เพียงแต่งบประมาณที่ขอเพิ่มนั้นยังมีความไม่แน่นอนสูงที่อาจจะไม่ผ่านการโหวต รวมถึงระยะเวลาที่ค่อนข้างจำกัด และคดีความทางกฎหมายในเรื่องการแต่งตั้งบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าขาดคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรี ก็ยังถือเป็นความเสี่ยงที่สำคัญอีกเช่นกัน นอกจากนั้นแล้ว ยังมีเรื่องคดีความของนายทักษิณที่อัยการสั่งฟ้องในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
ขณะที่ซิตี้กรุ๊ป ระบุว่า มีความเสี่ยงที่นายเศรษฐาจะถูกถอดออกจากตำแหน่ง และจะต้องเลือกครม.ชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่แทน ซึ่งจะส่งผลให้พรรคร่วมรัฐบาลต้องมีการเจรจาข้อตกลงกันใหม่ โดยมองว่าจุดนี้จะเป็นการสร้างความไม่แน่นอนทางการเมืองในระดับที่ค่อนข้างสูง
อย่างไรก็ตาม แม้คดีความดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด และสถานการณ์ทางการเมืองยังไม่ชัดเจน จึงอาจส่งผลให้มาตรการทางเศรษฐกิจอาจล่าช้าออกไป โดยซิตี้กรุ๊ปการขาดดุลงบประมาณเป็น 3.20% ของจีดีพีในปีงบประมาณ 67 จากเดิมที่คาดไว้ 3.50% และการสร้างช่องว่างทางการคลัง (Fiscal Gap) ที่ลดลงจากเดิม 4.10% เป็น 3.70%