NEO มั่นใจปี 67 รายได้เข้าเป้าโต Double Digits เดินหน้าออกสินค้าใหม่ต่อเนื่อง
NEO มั่นใจรายได้ปี 67 เติบโต Double Digits เดินหน้าออกสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงเพิ่มช่องทางการขายต่อเนื่องผลักดันผลงานเติบโตแกร่ง
นางนาฏยา ทัศนีย์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) หรือ NEO เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2567 จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1/2567 บริษัทฯ สามารถทำกำไรสุทธิ 272 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.50% จากช่วงเดียวกันของปีมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 182 ล้านบาท
โดยรายได้รวม 2,472 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.50% จากงวดเดียวของปีก่อน 2,278 ล้านบาท โดยการเติบโตส่วนใหญ่มาจากการเติบโตของยอดขายกลุ่ม Personal Care 22% จากทุกผลิตภัณฑ์ อาทิ ครีมอาบน้ำ, โรลออน, โคโลจญ์ และแป้ง ตามมาด้วยการเติบโตของกลุ่ม Baby and Kids 11% ส่วนใหญ่จากน้ำยาซักผ้าชนิดน้ำและครีมอาบน้ำ
ด้าน นางสาวณิศรา ถกลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายปฏิบัติการ NEO กล่าวว่า แนวโน้มเป้าหมายปี 2567 บริษัทฯ มองการเติบโตแบบดับเบิ้ลดิจิตส์ คาดรับอานิสงส์ 3 ปัจจัยหลัก ส่วนแรกคือ NDP&Relanuch of 50-100 SKUs การมีสินค้าใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคก็เป็นประเด็นสำคัญที่ทางบริษัทนั้นทำอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการพัฒนาสินค้าที่ทางบริษัทนั้นมีอยู่แล้วเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและตอบโจทย์ผู้บริโภคให้ดียิ่งขึ้น
ส่วนที่ 2 ในแง่ของ Expanding Distribution Channels บริษัทมีการวางแผนและพูดคุยเพื่อที่จะขยายช่องทางการจัดจำหน่ายและการขายให้ได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ส่วนที่ 3 Marketing 360° หรือ การตลาด 360 องศาเป็นสิ่งดั้งเดิมที่ทางบริษัทได้ดำเนินการอยู่แล้ว เพียงแต่จะดำเนินการให้ได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น
นางสาวณิศรา กล่าวอีกว่า NEO มีแบรนด์ฝ่ายใต้การดำเนินงานของบริษัทซึ่งประกอบไปด้วย 8 แบรนด์ด้วยกัน ได้แก่ ดีนี่ (D-nee) ไฟน์ไลน์ (Fineline ) ,โทมิ (Tomi) ,สมาร์ท (Smart) ,บีไนซ์ (BeNice) ,ทรอส (TROS) , เอเวอร์เซ้นส์ (Eversense) และวีไวต์ (Vivite) ซึ่งทั้ง 8 แบรนด์มีช่องทางการขายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ
รวมถึงต่างประเทศอีกส่วนหนึ่งคือ NEO เป็นบริษัทที่พัฒนาสินค้าด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นทางบริษัทมีทีม RD ที่แข็งแกร่ง และสามารถเจาะเข้าสู้ข้อมูลเชิงลึกของตลาดได้เป็นอย่างดี และส่วนสุดท้ายทีมการจัดการมีประสบการณ์ร่วมกันมากกว่า 30 ปี
ทั้งนี้ส่วนของกลุ่มธุรกิจในบริษัทซึ่งประกอบไปด้วย 3 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ Household Products 42% ประกอบไปด้วย ไฟน์ไลน์ สมาร์ท และโทมิ Personal Care Products 28% ประกอบไปด้วย บีไนซ์ เอเวอร์เซ้นส์ ทรอส และวีไวต์ Baby and kids Products 30% ภายใต้แบรนด์ ดีนี่
นอกจากนี้ยังมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลาย โดยแบ่งออกเป็น ภายในประเทศ คิดเป็น 90.90% ได้แก่ การค้าแบบสมัยใหม่ 50% โดยผ่านช่องทางการค้าปลีก, ผู้ค้าส่ง, ห้างสรรพสินค้า, ร้านสะดวกซื้อ การค้าแบบดั้งเดิม 34% โดยผ่านช่องทางการค้าปลีกขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ , ตัวแทนจำหน่าย, การค้าปลีกขนาดเล็ก ช่องทางการค้าอื่นๆ 7% โดยผ่านทาง ช่องทางออนไลน์ e-commerce platform ได้แก่ Lazada, shopee, linestore และ Tiktok
อีกทั้งในส่วนของช่องทางพิเศษอื่นๆ ได้แก่ Beauty store, Pharmacy ในส่วนของ business clients ได้แก่ ร้านซักรีด และโรงแรม และด้านอื่นๆ ได้แก่ Exhibition, Events, Roadshow และ ในด้านของการส่งออกคิดเป็น 9% โดยผ่านตัวแทนจำหน่ายจำนวน 16 ประเทศ ทั้งนี้โฟกัสที่กลุ่มประเทศ CLMV เป็นหลักโดยเฉพาะ ผ่านทางผู้ค้าปลีก, ผู้ค้าส่ง และ ช่องทางออนไลน์
นอกจากนี้ การพัฒนาสินค้ายังเป็นจุดแข็งของ NEO ซึ่งการที่จะพัฒนาสินค้าได้ตอบโจทย์ของผู้บริโภค ต้องมาจากการที่เข้าใจข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคอย่างแท้จริง ซึ่งในส่วนนี้สามารถยกตัวอย่างได้ว่าทางบริษัทเป็นผู้บุกเบิกในหลายๆ กลุ่มสินค้า ยกตัวอย่างเช่น เป็นกลุ่มของออแกนิค ผลิตภัณฑ์ D-nee organic product เอง เราเป็นบริษัทแรกที่ Launch ออแกนิค ใน baby and kids โดยเป็นการที่เข้าใจความต้องการภายในใจของผู้บริโภคว่าต้องการสินค้าที่ อ่อนโยน และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ชีวิตของผู้บริโภค
อีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นกลุ่มของ Sliver Age จากเทรนด์ของประชากรที่เป็นสังคมของผู้สูงวัยมากขึ้น จึงเล็งเห็นความสำคัญในส่วนนี้ว่า Sliver Age เป็นกลุ่มที่เราต้องการจะมีช้อยเพิ่มสินค้าแล้วก็ดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ของผู้บริโภคกลุ่มนี้
ด้าน นายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NEO ได้กล่าวถึงกลยุทธ์บริษัทฯ ว่ามีเป้าหมายที่จะเป็นบริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชีย โดยจะต้องเกิดจากหลายเรื่องด้วยกัน อย่างแรกต้องเข้าใจก่อนว่าผู้บริโภคเป็นอย่างไร จากผลการวิจัยและหรืออะไรต่างๆ ที่จะทำให้บริษัทมองเห็นในอนาคตว่า นวัตกรรมอะไรที่จะมาช่วยส่งเสริมและช่วยให้ชีวิตประจำวันของผู้บริโภคมีความสุข ความสบายมากขึ้น เมื่อมาดูที่ด้านของผลิตภัณฑ์ ทางบริษัทฯมีทั้ง Household Products Personal Care Products และ Baby and kids Products
ทั้งนี้ในส่วนของกลุ่มเป้าหมายคือครอบคลุมตั้งแต่เด็กแรกเกิด มาถึงเด็กวัยนักศึกษา วัยคนทำงาน แม่บ้าน และกลุ่มผู้สูงวัย ซึ่งก็ทำให้ทางบริษัทเห็นว่านวัตกรรมต่างๆ ที่ทางบริษัทมีและกำลังพัฒนาอยู่นั้น สามารถช่วยให้ชีวิตของบุคคลกลุ่มดังกล่าวมีความสุขได้ โดยทางบริษัทได้มองตั้งแต่เด็กแรกเกิดไปจนถึงกลุ่มสังคมผู้สูงวัยว่าทางบริษัทนั้นมีความเข้าใจสิ่งต่างๆ ค่อนข้างดี ดังนั้นจะได้ช่วยเสริมกับนวัตกรรมที่จะสามารถนำมาช่วยกลุ่มคนเหล่านั้นได้
นอกจากนี้ส่วนสุดท้ายคือ การสร้างแบรนด์ที่ยั่งยืน โดยทางบริษัทนั้นเป็นเจ้าแรกที่ได้ริเริ่มการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีความเป็นออแกนิค เนื่องจากบริษัทได้มีนวัตกรรมที่ได้เข้ามาช่วยส่งเสริมสิ่งเหล่านี้ อีกส่วนหนึ่งคือในกลุ่มสังคมของผู้สูงวัย (Sliver Age) ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้บริษัทได้ก้าวไปข้างหน้า เพราะกลุ่มสังคมผู้สูงวัยนั้นเป็นกลุ่มตลาดที่ค่อนข้างใหญ่ เพราะเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อที่สูง และทางบริษัทก็ยังเป็นกลุ่มแรกที่ริเริ่มผลิตผลิตภัณฑ์ในรูปแบบสำหรับกลุ่มผู้สูงวัย หรือ กลุ่ม Sliver Age ในแง่ของ Personal Care Products
ทั้งนี้กล่าวโดยสรุปได้ว่า กลยุทธ์ธุรกิจของ NEO นั้นจะต้องมี 1. Marketing excellence การตลาดที่ยอดเยี่ยม คือ ต้องมีสินค้าที่ดีมีคุณภาพที่ได้ตรงตามมาตราฐานที่จะ ถูกใจผู้บริโภค ลองทำการวิจัยต่างๆ กับตัวสินค้า เพื่อหามาตราฐานที่ดีที่สุด ถ้าสินค้าไม่ดีไม่มีคุณภาพก็จะไม่ถูกนำไปส่งต่อให้กับผู้บริโภค และนอกจากมีสินค้าที่ดีแล้วยังต้องมี การตลาดที่ดีอีกด้วย
2.Supply chain optimization การเพิ่มประสิทธิภาพของซัพพลายเชน โดยสิ่งสำคัญเมื่อทำการออกสินค้าไปแล้ว จะต้องมีคู่ค้าที่ให้การสนับสนุน ซึ่งบริษัทก็ได้ทำงานกันเป็น partnership ตั้งแต่วันแรก จึงทำให้สินค้าของทางบริษัทนั้นได้เป็นที่ยอมรับและส่งสินค้าไปยังห้างสรรพสินค้า และการจะส่งสินค้าไปนั้นจะต้องมีการจัดการในการบริหารจัดการการส่งต่างๆ อย่างดี
3.Sustainability driven การขับเคลื่อนด้วยการพัฒนาอย่างยั่งยืน สิ่งนี้เป็นส่วนที่ทางบริษัทได้คิดตั้งแต่วันแรกที่มีการริเริ่มที่จะทำการผลิตผลิตภัณฑ์โดยจะคำนึงถึงหลายๆ สิ่งไม่ใช้แค่ผลิตสินค้าเพื่อที่จะมาทำการขายแต่เพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ยังคงคำนึงถึงผลกระทบต่างๆ ทางสิ่งแวดล้อมทั้งในด้านการผลิตผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์อีกด้วย
“บริษัทเลือกใช้แบรนด์ดีนี่ไปยังกลุ่ม Sliver Age แทนการออกแบรนด์ใหม่ เพราะแบรนด์ดีนี่มีผู้ใช้ที่หลากหลาย โดยมีตั้งแต่กลุ่มแรกเกิด ไปยังผู้หญิงพนักงานออฟฟิศก็ยังเลือกใช้ โดยจาการวิจัยที่ทางบริษัทได้ทำมา 5 ปี ตลอดอย่างต่อเนื่องก็ได้พบว่ามีกลุ่มผู้สูงวัยที่ได้เข้ามาเลือกใช้แบรนด์ดีนี่ด้วย ดังนั้นจึงไม่ใช้เรื่องแปลกสำหรับทางบริษัทที่จะเลือกใช้แบรนด์ดีนี่ไปทำการเจาะกลุ่มตลาดของ Sliver Age ด้วยการทำผลิตภัณฑ์แบรนด์ ดีนี่ ดีลักซ์ (D-nee Deluxe)” นายสุทธิเดช กล่าว