BTS ดีเดย์ล้างขาดทุนสะสม 3.2 พันล้าน หลัง 25 ก.ค.! ลุ้นปันผลระหว่างกาล

BTS ดีเดย์ล้างขาดทุนสะสม 3.2 พันล้านบาท หลัง 25 ก.ค. ผู้ถือหุ้นพร้อมใจไฟเขียว “กวิน” ส่งซิกมีลุ้นปันผลระหว่างกาลหากผลประกอบการดี มีเงินสดเหลือ มั่นใจผลประกอบการปี 67/68 (เม.ย. 67-มี.ค. 68) เติบโตดีกว่าปีก่อน หลังปลดภาระ KEX-SINGER ขณะที่ธุรกิจรถไฟฟ้ายอดผู้โดยสารพุ่ง ขานรับวีซ่าฟรีจีน สีชมพู-เหลืองอีก 2-3 ปีเริ่มมีกำไร ด้านโบรกฯ มองบวกสภาพคล่องบีทีเอสล้น ไร้แผนเพิ่มทุน ปีนี้พลิกกำไร จ่อขายซิงเกอร์รับทรัพย์อีก 4 พันล้านบาท ราคาเป้าหมายเฉลี่ยใหม่ 7.89 บาท


นายกวิน กาญจนพาสน์ กรรมการบริหาร และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า การประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 วันที่ 25 กรกฎาคมนี้ BTS จะเสนอที่ประชุมฯ พิจารณาและอนุมัติการโอนทุนสำรองตามกฎหมายจำนวน 3,283.92 ล้านบาท เพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสมตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัท สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2567 จำนวน 3,283.92 ล้านบาท ซึ่งภายหลังการโอนทุนสำรองตามกฎหมายเพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสมดังกล่าว BTS จะไม่มีผลขาดทุนสะสมในงบการเงินเฉพาะกิจการบริษัท และจะมีทุนสำรองตามกฎหมายคงเหลือจำนวน 178.06 ล้านบาท

ทั้งนี้ การล้างขาดทุนสะสมดังกล่าว มีเป้าหมายเพื่อให้สามารถจ่ายปันผลได้ในระยะต่อไป แต่มีแนวโน้มจะจ่ายปันผลระหว่างกาลทันทีหรือไม่นั้น ยังไม่สามารถตอบได้ เพราะต้องขึ้นอยู่กับผลประกอบการและการพิจารณาของคณะกรรมการบริษัท หากผลประกอบการดี BTS ก็พร้อมพิจารณาเรื่องการจ่ายปันผลเช่นกัน

“แน่นอนว่าเป้าหมายของการล้างขาดทุนสะสมคือเราจะได้จ่ายปันผลได้ แต่จะมีปันผลระหว่างกาลหรือไม่ ยังตอบไม่ได้ ทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับผลประกอบการ ถ้าผลประกอบการดี เราก็พร้อมพิจารณาเรื่องนี้อยู่แล้ว และเชื่อว่าปีนี้ผลประกอบการจะดีกว่าปีก่อนแน่นอน เพราะเราไม่มีรายการพิเศษที่ฉุดให้ขาดทุน ซึ่งถ้าดูกำไรจากการดำเนินของปีที่แล้ว เราเติบโต ไม่ใช่ว่าแย่ แต่ที่ขาดทุนก็มาจากรายการพิเศษทั้งสิ้น” นายกวิน กล่าว

นายกวิน มั่นใจว่าการดำเนินงานงวดปี 2567/2568 (เม.ย. 2567-มี.ค. 2568) จะเติบโตได้ดีกว่าปีที่ผ่านมาแน่นอน เนื่องจากขณะนี้ไม่มีรายการพิเศษที่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานแล้ว หลังจาก BTS ได้จำหน่ายหุ้นบริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX โดยยังถืออยู่ไม่ถึง 3% ซึ่งไม่มีนัยสำคัญ รวมทั้งบริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ RABBIT ที่เตรียมจำหน่ายหุ้นบริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER ออกไป จึงทำให้ BTS บรรเทาผลกระทบจากการต้องรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าเงินลงทุนใน RABBIT ลง

ขณะเดียวกัน หากพิจารณาที่กำไรจากการดำเนินงานของ BTS ในปี 2566/2567 (เม.ย. 2566-มี.ค. 2567) จะพบว่าเติบโตขึ้น โดยมีกำไรจากการดำเนินงานที่เกิดขึ้้นเป็นประจำก่อนค่าเสื่่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย ดอกเบี้้ยและภาษี 8,138 ล้านบาท เพิ่่มขึ้้น 6.1% หรือ 469 ล้านบาท จากปีก่อนหน้า ส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ธุรกิจ MOVE (ธุรกิจระบบราง) ซึ่งได้แรงหนุนจากการเติบโตของรายได้ดอกเบี้ยรับที่เกี่ยวกับโครงการรถไฟฟ้าและส่วนแบ่งกำไรที่่เพิ่มขึ้นจากเงินลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท (BTSGIF) ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดเจนว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ BTS ขาดทุนสุทธิทั้งปีที่ 5,241 ล้านบาท มาจากการขาดทุนรายการพิเศษทั้งสิ้น จึงมั่นใจว่าผลประกอบการปีนี้จะเติบโตและพลิกกลับมามีกำไร เพราะ BTS ไม่มีรายการพิเศษดังกล่าวแล้ว

นายกวิน กล่าวเพิ่มเติมถึงแนวโน้มธุรกิจรถไฟฟ้าปี 2567/2568 ว่า เชื่อว่าผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการเติบโตตามธรรมชาติ และปัจจัยหนุนจากการที่รัฐบาลออกมาตรการยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยว (visa free) แก่หลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน ที่จะทำให้นักท่องเที่ยวเติบโตแบบต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลดีต่อรถไฟฟ้า BTS รวมถึงการเปิดดำเนินการศูนย์การค้า สำนักงานตามแนวสายทางรถไฟฟ้าหลายแห่งที่ปิดไปช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 และการรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม-การลดโลกร้อนที่จะทำให้ประชาชนหันมาใช้รถไฟฟ้ามากขึ้นด้วย

ส่วนรถไฟฟ้าโมโนเรล 2 สายทางคือ สายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง และสายสีชมพู แคราย-มีนบุรี ที่เพิ่งเปิดให้บริการนั้น จะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 2-3 ปี จึงจะเริ่มมีกำไร ถือเป็นเรื่องปกติของธุรกิจลักษณะนี้ ซึ่ง BTS ก็ได้รับสัมปทานยาวถึง 30 ปี อย่างไรก็ตามแม้การให้บริการรถไฟฟ้าโนมโนเรล 2 สายทางดังกล่าวจะยังไม่มีกำไร แต่มั่นใจว่าผู้โดยสารจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง และปี 2567/2568 ผู้โดยสารก็จะสูงกว่าปีก่อนแน่นอน

ด้านนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า วานนี้ (6 มิ.ย. 2567) ได้เข้าร่วมงานประชุมนักวิเคราะห์ของ BTS ซึ่งหลังจากที่ได้รับฟังการชี้แจงข้อมูลต่าง ๆ จาก BTS แล้ว ทำให้มีมุมมองเป็นบวกมากขึ้น หลังจากผลประกอบการปี 2566/2567 ขาดทุนสุทธิ 5,241 ล้านบาท โดยประเมินว่าการดำเนินงานปี 2567/2568 จะดีขึ้นและพลิกกลับมามีกำไร หลังจากไม่มี 2 รายการพิเศษที่เป็นปัจจัยกระทบมากสุด คือ KEX และ SINGER จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น BTS แต่จะพิจารณาปรับลดราคาเป้าหมายลงจากเดิมที่เคยประเมินไว้ที่กว่า 8 บาท เหลือประมาณ 6 บาท เพราะแม้ว่าผลประกอบการ BTS มีแนวโน้มดีขึ้น แต่ยังไม่ค่อยมีปัจจัยหนุนใหม่ที่ชัดเจน นอกจากจะมีการรับงานโครงการใหม่ ๆ ที่สามารถทำกำไรได้ทันที

นอกจากนี้ โครงการรรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีชมพู ก็ต้องรออย่างน้อย 3 ปีกว่าจะเริ่มทำกำไร ส่วนรถไฟฟ้าสายทางที่ให้บริการปัจจุบันก็อาจเติบโตได้เพียงเล็กน้อย เพราะพฤติกรรมการทำงานและการเดินทางของประชาชนเปลี่ยนไป ไม่ใช่การบังคับเข้าสำนักงานเช่นก่อนเกิดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 แต่สามารถทำงานนอกสถานที่ได้ ขณะที่ดอกเบี้ยจากการกู้เงินมาดำเนินงานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพูที่ก่อนหน้านี้ถูกบันทึกไว้เป็นต้นทุนโครงการ แต่หลังจากนี้จะถูกบันทึกเป็นต้นทุนบริษัทเพราะงานก่อสร้างเสร็จแล้ว

ดังนั้น ผลประกอบการจะดีขึ้นนับจากนี้จะเกิดจากส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วมดีขึ้น, การไม่มีภาระ KEX และ SINGER แต่หากจะให้กลับไปมีกำไรที่ 1,000-2,000 ล้านบาท เช่นก่อนโควิด อาจเป็นเรื่องยาก นอกจากจะมีโครงการใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่มเติม ส่วนการปันผลนั้น มีความเป็นไปได้ที่จะมีการปันผลประจำปีมากกว่าการปันผลระหว่างกาล

บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวภายหลังจากประชุมนักวิเคราะห์ร่วมกับผู้บริหาร BTS ว่า บริษัทมีมุมมองเชิงบวกต่อการให้ข้อมูลของบีทีเอสครั้งนี้ โดยเฉพาะกระแสเงินสดของบริษัทที่มีค่อนข้างสูง อยู่ที่ประมาณ 9,000 ล้านบาท โดยไม่รวมในส่วนของเงินที่ได้รับชำระค่างานระบบการเดินรถ (ไฟฟ้าและเครื่องกลหรือ E&M) โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย จากกรุงเทพมหานครจำนวน 2.3 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ ผู้บริหารยืนยันว่าจะไม่มีการเพิ่มทุนที่แจ้งต่อตลาดฯ ไปก่อนหน้านี้ เนื่องจากมีสภาพคล่องสูงอยู่แล้ว โดยบริษัทยืนยันว่าปีนี้ (เม.ย. 2567-มี.ค. 2568) บริษัทจะเน้นในธุรกิจที่มีกำไรและตัดขายธุรกิจที่ไม่สร้างกำไรออกไป รวมทั้งไม่มีแผนลงทุนใหม่

โดยบริษัทมีแผนที่จะขายหุ้น SINGER ที่ถือโดยบริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ RABBIT (บริษัทลูกของบีทีเอส) สัดส่วน 20% ออกไปในราคาหุ้นละ 20 บาท เป็นจำนวนเงิน 3.9 พันล้านบาท ภายใน 3 ปี โดยที่ผ่านมาบริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI บริษัทในเครือก็ขายหุ้นบริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX ออกไปหมดแล้ว จึงทำให้ไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนจากบริษัทดังกล่าวอีกต่อไป

ก่อนหน้านี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งมติผ่านระบบตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 ได้อนุมัติรายการการขายหุ้น SINGER ที่ถืออยู่ทั้งหมดจำนวนประมาณ 195.1 ล้านหุ้น ที่ราคา 20 บาทต่อหุ้น โดยธุรกรรมดังกล่าว นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา จะมีสิทธิซื้อหรือให้สิทธิกับบุคคลอื่นที่จะซื้อหุ้น SINGER ทั้งหมด ประมาณ 195.1 ล้านหุ้น หรือ 23.95% ของหุ้นทั้งหมด ที่ Rabbit Holdings ถืออยู่ ที่ราคา 20 บาท ภายใน 3 ปี สิ้นสุดปี 2570 ตามเงื่อนไขของสัญญา รวมมูลค่าประมาณ 3,903 ล้านบาท

ข้อมูลจาก LSEG Consensus หุ้น BTS ประมาณการรายได้รวมงวดปี 2568 ที่ 16,195.72 ล้านบาท ประมาณการกำไรสุทธิงวดปี 2568 ที่ 1,273.50 ล้านบาท ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 7.89 บาท จาก 9 โบรกเกอร์ ขณะที่วานนี้ราคาหุ้น BTS ปิดที่ 4.94 บาท ลดลง 1.20% มูลค่าซื้อขาย 944 ล้านบาท

Back to top button