เปิด 8 หุ้น mai วิ่งแรงเกิน 50% รอบ 5 เดือนแรกปี 67
เปิดรายชื่อ 8 หุ้น mai วิ่งแรงเกิน 50% ในรอบ 5 เดือนแรกปี 2567 ชู 24CS-TRT-CHOW-ITTHI-PROS นำทีมทะยานแรง
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการสำรวจความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในช่วง 5 เดือนแรกปี 2567 โดยเปรียบเทียบจากราคาหุ้นปิดสิ้นสุดปี 66 (28 ธ.ค.66) กับราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 31 พ.ค.67 โดยมีหุ้นเข้าเกณฑ์คัดเลือกมา 8 อันดับแรกของกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นโดดเด่นเกิน 50% และสวนภาวะตลาดผันผวน
โดยทิศทางตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) 5 เดือนแรกปีนี้ปรับตัวลงเล็กน้อย โดยเทียบจากดัชนี ณ วันที่ 28 ธ.ค.66 อยู่ที่ระดับ 411.61 จุด ลบ 31.69 จุด มาอยู่ที่ระดับ 379.92 จุด (31 พ.ค.67) หรือลดลง 7.69% เนื่องจากภาวะตลาดยังเผชิญปัจจัยลบจากภาวะสงครามตะวันออกกลาง ทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐกดดัน ประกอบกับประเด็นทางด้านการเมืองในประเทศกดดัน
สำหรับกลุ่มหุ้น mai ในช่วง 5 เดือนแรกปี67 ที่ปรับตัวขึ้นแรง 8 อันดับแรก ได้แก่ 24CS,TRT,CHOW,ITTHI,PROS,NDR,STP, และ SELIC ดังตารางประกอบ
อันดับ 1 บริษัท ทเวนตี้ โฟร์ คอน แอนด์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ 24CS ราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 1.44 บาท ณ วันที่ 28 ธ.ค.66 มาอยู่ที่ระดับ 3.70 บาท ณ วันที่ 31 พ.ค.67 คิดเป็นการปรับตัวขึ้น 156.94%
สำหรับราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงเนื่องจากนักลงทุนแห่เข้าไปซื้อเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็ก จนทำให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ออกมาประกาศให้ 24CS เข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขาย Cash Balance ระดับ 1 และ 2 อย่างเนื่องจากการซื้อขายผิดไปจากสภาพปกติ โดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ จนเป็นเหตุให้เข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขาย นอกจากนี้ผลประกอบการไตรมาส 1/67 ขาดทุนสุทธิ 32.41 ล้านบาท จากไตรมาส 1/66 มีกำไร 5.41 ล้านบาท
อันดับ 2 บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT ราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 2.48 บาท ณ วันที่ 28 ธ.ค.66 มาอยู่ที่ระดับ 4.98 บาท ณ วันที่ 31 พ.ค.67 คิดเป็นการปรับตัวขึ้น 100.81% ราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงเนื่องจากนักลงทุนแห่เข้าไปซื้อเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็ก บวกกับแผนธุรกิจโดดเด่นและผลประกอบการไตรมาส 1/67 ออกมาสดใส โดยพลิกมีกำไร 96.29 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 35.16 ล้านบาท
โดยก่อนหน้านี้นายสัมพันธ์ วงษ์ปาน กรรมการผู้จัดการ TRT เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจภายในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า มีแนวโน้มผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่าปีละ 10% จากการวางแผนการธุรกิจและการบริหารงานภายในที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น จะส่งผลให้บริษัทมีรายได้รวม 4,000-5,000 ล้านบาท โดยเฉพาะตลาดส่งออกจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 50% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนไม่ถึง 10%
โดยบริษัทวางแผนเจาะตลาดในกลุ่มประเทศยุโรปและอเมริกา เนื่องจากเป็นประเทศที่มีการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าและหม้อแปลงมาอย่างยาวนานนับ 100 ปี ถือเป็นโอกาสทางการตลาดสำหรับบริษัทในการทำตลาดในต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตร เพื่อขยายตลาดไปในกลุ่มประเทศยุโรปและอเมริกา คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในช่วงกลางปี 2567 และเริ่มรับรู้รายได้ในปี 2568 เป็นต้นไป
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2567 บริษัทคาดว่าจะทำรายได้ 2,783 ล้านบาท หรือเติบโต 20% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,111 ล้านบาท มาจาก 2 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า (Transformer) มีลูกค้าหลักเป็นหน่วยงานภาครัฐ อาทิ บริษัทเอกชนทั้งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และบริษัททั่วไป ตลาดต่างประเทศทั่วโลก ธุรกิจการให้บริการ รวมถึงธุรกิจอื่น ๆ ด้วย คาดว่าจะทำรายได้ 2,590 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจที่ไม่ใช่หม้อแปลง (Non-Transformer) อาทิ รถกระเช้า, รถเครน, ถังหม้อแปลงไฟฟ้า และแบตเตอรี่ลิเธียม คาดว่าจะทำรายได้ 193 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทมีงานประมูลและเสนอราคาทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง มูลค่ากว่า 15,271 ล้านบาท ซึ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จสร้างเป็นยอดขายและรายได้ประมาณ 20% ขณะเดียวกัน ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ในปี 2567 อีก 2,352 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากกลุ่มธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า 2,191 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจที่ไม่ใช่หม้อแปลงอีก 161 ล้านบาทด้วย และในปี 2568 อีก 130 ล้านบาท
อันดับ 3 บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW ราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 1.51 บาท ณ วันที่ 28 ธ.ค.66 มาอยู่ที่ระดับ 2.80 บาท ณ วันที่ 31 พ.ค.67 คิดเป็นการปรับตัวขึ้น 85.43% ราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงบวกกับแผนธุรกิจโดดเด่นและผลประกอบการไตรมาส 1/67 ออกมาสดใส
โดยนายปรมัตถ์ จุฬวนิช ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน CHOW ผู้ประกอบธุรกิจผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กแท่งยาว (Steel Billet) รายใหญ่ของประเทศ และธุรกิจพลังงานทดแทนประเภทพลังงานแสงอาทิตย์ ผ่านบริษัท เชาว์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) บริษัทย่อย เปิดเผยถึงผลประกอบการประจำงวด 3 เดือน สิ้นสุด 31 มีนาคม 2567 ว่า มีผลกำไรจากการดำเนินธุรกิจในทุกๆ Business Unit ทั้งธุรกิจเหล็กและธุรกิจพลังงานทางเลือก ซึ่งเป็นไปตามวิสัยทัศน์ของฝ่ายบริหาร และถือเป็นการเติบโตที่เป็นแรงส่งต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2566
ในไตรมาสที่ 1/2567 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้รวม 1,369.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 903.18 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 193.5 และมีกำไรสุทธิ 90.37 ล้านบาท หรือเติบโตร้อยละ 2,638.5 จากไตรมาสเดียวกันของปี 2566 โดยผลประกอบการที่เติบโตแบบก้าวกระโดด มาจากรายได้จากธุรกิจเหล็ก และธุรกิจพลังงานทางเลือกที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยธุรกิจเหล็กบริษัทฯ ได้รับคำสั่งผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นและสม่ำเสมอในส่วนของธุรกิจรับจ้างผลิต หรือ OEM นอกจากนั้น ความหลากหลายของสินค้าที่ผลิตได้ และได้มาตรฐานอุตสาหกรรม ยังสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าจนสามารถขายสินค้าเหล็กประเภทอื่นๆ ออกสู่ตลาดได้เพิ่มมากขึ้นไปด้วย โดยเฉพาะการขายสินค้าตามคำสั่งซื้อ (Trading) ทั้งเหล็กแท่งบิลเลตและเหล็กเส้น จึงส่งผลให้ธุรกิจเหล็กมีผลการดำเนินงานเติบโตอย่างโดดเด่น โดยในไตรมาสที่ 1/2567 ธุรกิจเหล็กมีรายได้ 1,160.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 755.54 ล้านบาท หรือร้อยละ 186.7
ด้านธุรกิจพลังงานทางเลือก บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการให้บริการก่อสร้างระบบผลิตกระแสไฟฟ้า (EPC) เพิ่มมากขึ้น สอดคล้องกับการขยายตัวของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ของกลุ่มบริษัทร่วมทุน ที่มีโครงการโรงไฟฟ้าอยู่ระหว่างการพัฒนา ระหว่างก่อสร้างและจ่ายไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 250 เมกะวัตต์ในปี 2567 ดังนั้นจึงทำให้มีรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งบริษัทฯ ยังมีรายได้เพิ่มเติมต่อเนื่องจากการร่วมลงทุนในธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยกับกองทุน BlackRock ซึ่งเป็นไปตามแผนการดำเนินธุรกิจที่สามารถทำให้กลุ่มบริษัทฯ เพิ่มความมั่นคงและแข็งแกร่งในส่วนของผู้ถือหุ้น เพื่อนำไปลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าตามแผนการดำเนินธุรกิจต่อไป โดยปัจจุบัน CHOW มีสัดส่วนรายได้ร้อยละ 84 มาจากธุรกิจเหล็ก และรายได้ที่เหลืออีกร้อยละ 16 มาจากธุรกิจพลังงานทางเลือก
ทั้งนี้ นอกเหนือจากการมุ่งสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจแล้ว กลุ่มบริษัท CHOW ยังมุ่งพัฒนาองค์กรให้เติบโตควบคู่ไปกับสังคมอย่างยั่งยืน ด้วยการนำแนวความคิดเกี่ยวกับการพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืน หรือ ESG มาประยุกต์ใช้ในการบริหารงาน และสอดแทรกความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ในทุกๆ กระบวนการทำงาน เพื่อให้ CHOW สามารถเติบโตและดำรงอยู่คู่กับสังคมได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
นายปรมัตถ์ กล่าวอีกว่า เชื่อว่า ปี 2567 จะเป็นปีที่ธุรกิจของ CHOW เติบโตได้อย่างโดดเด่น ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากผลงานในไตรมาสแรก และเมื่อรวมกับฐานทุนแข็งแกร่ง สามารถขยายธุรกิจได้อย่างคล่องตัว ทั้งจากกระแสเงินสดของบริษัทฯ เอง และการสนับสนุนด้านสินเชื่อจากธนาคารชั้นนำ บุคลากรที่มีความสามารถ เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและ supply chain ที่แข็งแกร่งทำให้เข้าถึงแหล่งวัตถุดิบและอุปกรณ์ ในราคาที่แข่งขันในตลาดได้อย่างคล่องตัว ซึ่งความพร้อมเหล่านี้จะทำให้ CHOW สามารถขยายธุรกิจ สร้างรายได้และกำไรให้เติบโตได้อย่างโดดเด่นตามเป้าหมายที่วางไว้
อันดับ 4 บริษัท อิทธิฤทธิ์ ไนซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITTHI ราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 1.59 บาท ณ วันที่ 28 ธ.ค.66 มาอยู่ที่ระดับ 2.70 บาท ณ วันที่ 31 พ.ค.67 คิดเป็นการปรับตัวขึ้น 69.81% ราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นแรง คาดนักลงทุนเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็ก และผลประกอบการไตรมาส 1/67 ออกมาสดใส โดยบริษัทมีกำไรสุทธิ 8.88 ล้านบาท จากไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 4.02 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 120.57%
อันดับ 5 บริษัท พรอสเพอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ PROS ราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 0.74 บาท ณ วันที่ 28 ธ.ค.66 มาอยู่ที่ระดับ 1.25 บาท ณ วันที่ 31 พ.ค.67 คิดเป็นการปรับตัวขึ้น 68.92% คาดนักลงทุนเข้าเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็กประกอบกับแผนธุรกิจโดดเด่นและผลประกอบการสดใส
โดยนายพงศ์เทพ รัตนแสงสรวง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PROS ผู้ให้บริการรับเหมาติดตั้งงานระบบวิศวกรรมประกอบอาคาร เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ของปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 323.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.38% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และพลิกเป็นกำไรสุทธิอยู่ที่ 8.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 229.80% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 6.67 ล้านบาท สะท้อนการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ โดยรายได้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลักๆมาจากการส่งมอบงานโครงการต่างๆ ที่เป็นไปตามเป้าหมาย
ขณะที่ปัจจุบันภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนภายในประเทศกำลังเข้าสู่ช่วงการฟื้นตัว ขานรับนโยบายการจัดสรรงบประมาณปี 2567 ส่งให้ภาคเอกชนเกิดความเชื่อมั่นและกลับมาลงทุน PROS จึงมีโอกาสในการรับงานใหม่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นอีกปีแห่งความท้าทายของบริษัทฯ ที่ยังคงต้องดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง บริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการบริหารความเสี่ยง รับงานที่มีความเชี่ยวชาญให้ความสำคัญกับงานที่สามารถสร้างรายได้และกำไรอย่างมั่นคง
พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรด้วย 4 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1. ธุรกิจก่อสร้าง (Construction Business) 2. ธุรกิจก่อสร้างสถานีไฟฟ้าย่อย ระบบจำหน่ายไฟฟ้า และธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (High Voltage Substation & Renewable Energy Business) 3. ธุรกิจด้านเทคโนโลยี และธุรกิจจัดจำหน่ายอุปกรณ์ระบบวิศวกรรม (New Technology & Trading Business) และ 4. ธุรกิจด้านสุขภาพ (Healthcare Business) ที่เดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ล้อไปกับภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนภายในประเทศที่ยังมีโอกาสขยายตัวในอนาคต
“PROS มีมูลค่างานรอส่งมอบ (Backlog) ในไตรมาสแรกของปี 2567 อยู่ที่กว่า 1,700 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ส่วนใหญ่ในปีนี้ อาทิ โครงการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรม Smart Park, โครงการก่อสร้างสถานีไฟฟ้าหลักชัยเมืองยาง, โครงการ NEO EXPANSION 1, โครงการควินทารารัชดา 12, โครงการหมอชิต คอมเพล็กซ์ เป็นต้น โดยคาดว่าครึ่งปีแรก บริษัทฯ จะสามารถเติบโตขึ้น จากภาพรวมเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ช่วงฟื้นตัว และมีแนวโน้มการปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้การเข้าประมูลงานในโปรเจกต์ใหม่ก็ยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ โครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ โครงการติดตั้งโซล่าร์รูฟ สถานพยาบาล เป็นต้น ซึ่งเป็นงานที่บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญและมั่นใจในการส่งมอบงานได้ตรงตามระยะเวลาที่กำหนด รวมถึงมีการรับโดยตรงจากทางภาครัฐและรับผ่านพาร์ทเนอร์ โดยบริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ปี 2567 เติบโตเพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน” นายพงศ์เทพ กล่าวทิ้งท้าย