PTG มั่นใจรายได้ Q2 โต 10% รับธุรกิจน้ำมัน พ่วงร้านกาแฟ-ออโต้แบคส์ หนุนต่อเนื่อง

PTG มั่นใจรายได้ Q2/67 เติบโต 10% จากปีก่อน รับมาร์จิ้นธุรกิจน้ำมัน พ่วงร้านกาแฟ-ออโต้แบคส์เติบโตต่อเนื่อง พร้อมเปิดเผยความคืบหน้าในการสปินออฟ “แอตลาส เอ็นเนอร์ยี่-ร้านกาแฟพันธุ์ไทย-ปาล์มคอมเพล็กซ์” เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ


นายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า ทิศทางผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2567 บริษัทฯยังมีความมั่นใจว่ารายได้จะเติบโต 10% ตามเป้าหมายที่วางไว้ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน หากสถานการณ์ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง หลังจากในช่วงไตรมาสแรกที่เติบโตราว 10%

สำหรับภาพการเติบโตในช่วงไตรมาส 2/2567 โดยจะเป็นผลมาจากธุรกิจน้ำมันที่จะเติบโตกว่า 10% ขณะที่ภาคงานธุรกิจ Non-Oil โดยเฉพาะธุรกิจกาแฟทั้งหมดรวมยอดขายจะเติบโตมากกว่า 70-80% ในส่วนของธุรกิจก๊าซ LPG จะเติบโตต่ำกว่าคาดเล็กน้อยอยู่ที่ 30-40% นอกจากนี้ในส่วนของศูนย์บริการรถยนต์ออโต้แบคส์ (Autobacs) จะเติบโต 70-80% เช่นกัน จากการเร่งขยายสาขาอีกด้วย ทั้งนี้ตั้งเป้าถึงปลายปีนี้เพิ่มให้มีกว่า 120 สาขา

สำหรับตัวของมาร์จิ้นที่เติบโตดียังเป็นในส่วนภาคธุรกิจน้ำมัน เนื่องจากในประเทศยังเติบโตแต่ภาพรวมจะยังเติบโตไม่เกิน 2% ส่วนในค่าการตลาดในช่วงไตรมาส 2 นี้ อย่างน้อยดีกว่าในช่วงไตรมาสแรก แต่ต่ำกว่าบริษัทคาดการณ์เล็กน้อย เนื่องด้วยค่าการตลาดที่เหมาะสมจะต้อง 2 บาทขึ้นไป แต่ให้ดีต้องอยู่ราว 2.30-2.50 บาท ซึ่งตรงระดับราคาดังกล่าวถือว่าเหมาะสม  อย่างไรก็ตามทางภาคของกลุ่มผู้ค้าถ้าปีนี้ค่าการตลาดถึง 2 บาท ถือว่าดีแล้วเมื่อเทียบกับค่าพลังงานที่ยังสูงอยู่

นายรังสรรค์ กล่าวอีกว่า แนวโน้มครึ่งหลังของปี 2567 บริษัทฯยังคงตั้งเป้าเท่าเดิม หากสถานการณ์ตลาดและกองทุนน้ำมันคงเดิม บริษัทฯยังมีความมุงหวังในแง่ของ EBITDA จะเติบโตตามเป้าหมายประมาณ 8-10%

ขณะที่แผนการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทมุ่งใช้ข้อมูลของลูกค้ามาบริหารจัดการเพื่อสร้างโอกาสให้มากขึ้น โดยบริษัทฯจะมุ่งในส่วนของธุรกิจ Non-Oil ที่เป็นสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันให้มากขึ้น แต่ในแง่ของพลังงานถือว่าเป็นฐานอยู่แล้ว เพราะมีการขยายตลอดและทางผู้บริโภคมีการตอบรับที่ดีเยี่ยม ทั้งนี้ในส่วนของ Non-Oil ที่จะนำเข้ามาสนับสนุนมูลค่าให้สูงขึ้นนั้น โดยบริษัทยังเดินหน้าจับมือกับพันธมิตรประกอบกับฐานลูกค้าของบริษัทเข้ามาเกี่ยวข้อง เนื่องจากไฟแนนซ์เป็นหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจ ดังนั้นหากบริษัทได้พันธมิตรดีก็จะช่วยเข้ามาเสริมสร้างให้เข้าถึงตัวทุนสะดวกมากขึ้น

นายรังสรรค์  กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนความคืบหน้าการนำบริษัทย่อยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยในส่วนของ บริษัท แอตลาส เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด ล่าสุดทางบริษัทได้มีการปรึกษาไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยมีการปรับโครงสร้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งทางก.ล.ต. ไม่มีข้อติดขัดอะไร ดังนั้นทางบริษัทจะมีการปรับไฟลิ่งใหม่เพื่อให้ผู้สอบบัญชีมายืนยันอีกครั้งจะใช้เวลาราว 3-4 เดือนนับจากนี้ไป โดยเร็วที่สุดปลายไตรมาส 3/2567 หรือต้นไตรมาส 4/2567 สามารถยื่นไฟลิ่งได้

ขณะที่ธุรกิจร้านกาแฟพันธุ์ไทยในปัจจุบันมีการปรับโครงสร้างต่างให้เรียบร้อยอยู่ โดยตั้งเป้าว่าภายในปลายปี 2568 จะสามารถยืนไฟลิ่ง อีกทั้งบริษัทจะพยายามทำให้ยอดการทำกำไรสูงใกล้ระดับ 1,000 ล้านบาท เป็นไปตามแผนหมาย หลังจากสาขาร้านกาแฟพันธุ์ไทยมี 1,000 สาขาขึ้นไปแล้ว

นอกจากนี้ ธุรกิจปาล์มคอมเพล็กซ์ภายใต้ บริษัท พีพีพี กรีน คอมเพล็กซ์ จำกัด (PPP) ที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ จะต้องใช้เวลาไม่เร็วเหมือนในกลุ่มธุรกิจบริการ หรือค้าปลีก แต่ทางบริษัทฯมีการศึกษาและลงนามกับธุรกิจบางกลุ่มอยู่และผลิตสินค้าบางตัว และปรับปรุงการผลิตสินค้าภายในมีการสูงขึ้นประกอบกับภาครัฐที่มีนโยบายในการรับซื้อราคาน้ำมัน B100 ที่ยังไม่มีข้อสรุปจากที่ประชุมตามแนวทางของกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรให้เพิ่มสัดส่วนการผสมขึ้นเป็น 10% ก็จะทำให้ต้นทุนดีเซลสูงขึ้นอีก ผลดังกล่าวทำให้กระทรวงพลังงานไม่ตอบอะไรว่าจะแคปราคาขายหรือไม่

Back to top button