SCB EIC มอง “กนง.” ลดดอกเบี้ยไตรมาส 4 เซ่นภาคผลิตอุตฯ ฟื้นตัวช้ากดดัน

SCB EIC มอง “กนง.” เตรียมลดดอกเบี้ยไตรมาส 4 รับแรงกดดันภาคอุตสาหกรรมฟื้นตัวช้า หลังไทยนำเข้าสินค้าจากจีน พร้อมกับความต้องการสินค้าคงทนหดตัวลง


ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB EIC เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ 6 ต่อ 1 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% โดย 1 เสียง เห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ทำให้การสื่อสารในการประชุม กนง. ครั้งนี้มีท่าทีที่ Hawkish กว่าการประชุมครั้งก่อนในเดือนเมษายนซึ่งมีมติ 5 ต่อ 2 เสียง โดยกรรมการเสียงส่วนใหญ่เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันอยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อเศรษฐกิจที่กำลังขยายตัวเข้าสู่ระดับศักยภาพและเหมาะสมกับการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงิน

ขณะที่กรรมการเสียงส่วนน้อยเห็นว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะช่วยให้อัตราดอกเบี้ยสอดคล้องกับศักยภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่ลดลงจากปัจจัยเชิงโครงสร้างมากขึ้นและมีส่วนช่วยบรรเทาภาระของลูกหนี้ สำหรับมุมมองต่อเศรษฐกิจไทย กนง. คงประมาณการจากการประชุมครั้งก่อนที่ 2.60% และปี 2568 อยู่ที่ 3.00% ตามแรงส่งจากอุปสงค์ในประเทศ ภาคการท่องเที่ยวและภาครัฐบาลที่กลับมาเบิกจ่ายได้ โดย กนง. ประเมินว่าภาคการส่งออกและภาคการผลิตจะยังคงฟื้นตัวช้าจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง

อย่างไรก็ดี กนง. มีมุมมองว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว สำหรับด้านอัตราเงินเฟ้อ กนง. คงประมาณการเดิมเช่นกัน โดยประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2567 จะอยู่ที่ 0.60% และปี 2568 อยู่ที่ 1.30% ตามราคาพลังงานและอาหารสดที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้น โดยคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2567 และอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางยังอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับกรอบเป้าหมาย

นอกจากนี้ SCB EIC คาดการณ์ว่า กนง. จะเริ่มลดดอกเบี้ยในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นจังหวะเวลาที่ภาวะการเงินตึงตัวจะเริ่มส่งผลกดดันเศรษฐกิจมากขึ้น ขณะที่ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจส่วนใหญ่ยังคงเปราะบางประกอบกับความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าจะเริ่มปรับสูงขึ้น สำหรับในระยะสั้น SCB EIC มองว่าพัฒนาการเศรษฐกิจไทยตั้งแต่ช่วงต้นปียังเป็นไปตามที่ กนง. ประเมินไว้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับมาสูงกว่ากรอบล่างของเป้าหมายในเดือนพฤษภาคมชั่วคราว โดยส่วนหนึ่งเป็นผลของฐานราคาพลังงานที่รัฐอุดหนุนไว้ในปีก่อน

อีกทั้ง ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย MRR เป็นพิเศษเป็นเวลา 6 เดือน สำหรับลูกค้ากลุ่มเปราะบาง ซึ่งมีส่วนช่วยบรรเทาภาระหนี้ของกลุ่มครัวเรือนและธุรกิจเปราะบางได้บางส่วนแล้ว กนง. จึงจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปอีกระยะหนึ่ง

อย่างไรก็ดีอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่กลับมาปรับเพิ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคม ไม่ได้สะท้อนว่าเศรษฐกิจกำลังเติบโตดี เนื่องจากเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาหมวดพลังงานและอาหารเป็นสำคัญ หลังรัฐบาลทยอยลดการอุดหนุนราคาขายปลีกน้ำมัน ขณะที่หากพิจารณาอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานซึ่งไม่รวมราคาพลังงานและอาหารสดยังทรงตัวต่ำที่ 0.39%

อีกทั้ง SCB EIC ประเมินว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังมีความเปราะบางอยู่มาก โดยเฉพาะภาคครัวเรือนจากข้อมูลการสำรวจเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (SES) ล่าสุดในปี 2566 ของ สำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าครัวเรือนที่เป็นหนี้มีความเปราะบางมากขึ้นสาเหตุหลักจากปัญหารายได้ไม่พอกับรายจ่าย โดยกลุ่มครัวเรือนรายได้ต่ำประสบปัญหารายได้หดตัวเมื่อเทียบปี 2564 ขณะที่กลุ่มครัวเรือนรายได้ปานกลางเริ่มมีรายได้ไม่พอในการนำไปจ่ายหนี้

ขณะที่หากมองไปข้างหน้าเศรษฐกิจไทยที่ยังฟื้นตัวแต่ยังคงเปราะบางในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากครัวเรือนไทยมีภาระหนี้สูงและคุณภาพสินเชื่อภาคครัวเรือนด้อยลง จึงทำให้สถาบันการเงินโดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์เข้มงวดมากขึ้นในการปล่อยสินเชื่อภาคครัวเรือน ซึ่งส่งผลให้ภาวะการเงินโดยรวมจะยิ่งมีแนวโน้มตึงตัวขึ้นในช่วงที่เหลือของปี พร้อมกับยิ่งเพิ่มความเปราะบางของเศรษฐกิจท่ามกลางสถานการณ์ที่ภาคเศรษฐกิจบางส่วนยังถูกกดดันจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง

ทั้งนี้ SCB EIC ประเมินว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมของไทยจะยังฟื้นตัวได้ช้า เนื่องจากยังมีแรงกดดันจากสินค้านำเข้าจากจีน และอุปสงค์ในประเทศต่อสินค้าคงทนที่ยังหดตัวต่อเนื่อง ปัจจัยเหล่านี้จะเป็นแรงกดดันเศรษฐกิจไทยที่ชัดเจนขึ้นในข้างหน้าทำให้ความจำเป็นในการปรับลดดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีนี้ โดยเฉพาะช่วงที่ภาคการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากเป็นพิเศษ ซึ่งการลดดอกเบี้ยจะไม่มีผลกระตุ้นการก่อหนี้มากจนน่ากังวลเช่นในอดีต

ดังนั้นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อกระบวนการลดหนี้ในระบบเศรษฐกิจ (Debt Deleveraging) นอกจากนี้ สภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจในช่วงปลายปีจะเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่าลงตามทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกอบกับความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะปรับสูงขึ้นมากกว่าที่ กนง. ประเมินในปัจจุบันทั้งจากปัจจัยภายนอกที่ไทยอาจได้รับผลกระทบจากการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกา การค้าโลกกระทบต่อการส่งออกและปัจจัยภายในจากอุปสงค์ในประเทศที่อาจอ่อนแอลงหากภาวะการเงินตึงตัวขึ้นส่งผลกระทบซ้ำเติมความเปราะบางภาคครัวเรือน

โดยจากปัจจัยต่างๆ SCB EIC จึงประเมินว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 1 ครั้งปลายปีนี้เหลือ 2.25% และปรับลดอีกครั้งเหลือ 2% ในช่วงต้นปีหน้า 2568 โดยมองว่าเป็นจังหวะเวลาที่ภาวะการเงินตึงตัวจะกดดันเศรษฐกิจมากขึ้น ขณะที่ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจจะยิ่งเปราะบางขึ้นประกอบกับความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะเริ่มปรับสูงขึ้น

Back to top button