SCB EIC มองอุตสาหกรรม “คอม-อิเล็กฯ-ชิ้นส่วนประกอบ” รับผลดีแบ่งขั้วเศรษฐกิจ
SCB EIC ประเมินกรณีตั้งกำแพงภาษี-แบ่งขั้วมหาอำนาจ อาจส่งผลดีอุตสาหกรรมไทย อาทิ คอมพิวเตอร์-อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์และส่วนประกอบ แนะภาครัฐออกนโยบายเชิงกลยุทธ์ที่เหมาะสม ผสานความร่วมมือเอกชนผลักดันภาคการส่งออก
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB EIC เปิดเผยว่า นับวันปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ยิ่งทวีความรุนแรง ความร่วมมือกันระหว่างประเทศที่ดำเนินมาในยุคโลกาภิวัตน์ถูกตั้งคำถามประเทศมหาอำนาจในโลกต่างหันกลับมามองว่าความร่วมมือกันผ่านข้อตกลงการค้าเสรีที่ผ่านมากระจายประโยชน์ให้แต่ละประเทศได้ทั่วถึงและเท่าเทียมเพียงใด และหากดูสัดส่วนการส่งออกของประเทศต่างๆ ในตลาดโลกช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าทิศทางการกระจายประโยชน์แตกต่างกันอย่างชัดเจน บางประเทศได้รับประโยชน์มาก อาทิ จีน อินเดีย และเวียดนาม แต่บางประเทศดูเหมือนจะได้ประโยชน์น้อยกว่า อาทิ สหรัฐฯ และประเทศเศรษฐกิจหลักอื่นๆ
ทั้งนี้ ความไว้วางใจในประเทศคู่ค้าสำคัญจึงเริ่มลดลงกลายเป็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และความร่วมมือกันระหว่างประเทศที่ลดลงสะท้อนได้จากการออกมาตรการกีดกันทางการค้า การลงทุน และการเคลื่อนย้ายแรงงานทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะตั้งแต่เริ่มเกิดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนในปี 2560 มาตรการกีดกันเหล่านี้ส่วนใหญ่ออกโดยประเทศมหาอำนาจและพันธมิตร อาทิ สหรัฐฯและสหภาพยุโรป โดยพบว่าเกือบ 70% ของมาตรการกีดกันที่ประกาศในปี 2566 อ้างเหตุผลเกี่ยวกับการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจ (Economic decoupling) และมีเป้าหมายหลักคือประเทศจีน
อีกทั้งเศรษฐกิจโลกจะยิ่งเผชิญกับความท้าทายด้านภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายการเมืองระหว่างประเทศรุนแรงขึ้นอีก เนื่องจาก (1) ระเบียบโลกใหม่กำลังเปลี่ยนทิศจากมหาอำนาจขั้วเดียว (Unipolar) ที่นำโดยสหรัฐฯ มาเป็นมหาอำนาจหลายขั้ว (Multipolar) เช่น จีน อินเดีย หรือกลุ่ม BRICS ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของประเทศตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มบทบาทในเวทีระหว่างประเทศ กำหนดทิศทางนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและระเบียบโลกใหม่
รวมถึงลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐในการชำระเงินและสร้างกลไกทางการเงินเพื่อช่วยเหลือทางการเงินในยามวิกฤต นอกจากนี้ นโยบายการเมืองระหว่างประเทศและห่วงโซ่การผลิตโลก (Global supply chain) จะต้องเผชิญความไม่แน่นอนจาก (2) ผลการเลือกตั้งใหญ่กว่า 60 ประเทศที่จะเกิดขึ้นภายในปีนี้ ซึ่งผู้ชิงตำแหน่งหลายท่านได้กล่าวถึงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจและจุดยืนทางภูมิรัฐศาสตร์ไว้ โดยเฉพาะการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ในเดือน พ.ย. ซึ่ง SCB EIC ประเมินว่าการเลือกตั้งของสหรัฐฯ จะมีผลกระทบอย่างมากต่อความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและการค้าโลก เพราะจุดยืนทางภูมิรัฐศาสตร์จะยิ่งเน้นประโยชน์ของสหรัฐฯ มากขึ้น ทำให้คาดเดาทิศทางนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ได้ยากขึ้น และสหรัฐฯ จะยิ่งมีท่าทีแข็งกร้าวกับจีนและกลุ่มพันธมิตรของจีนมากขึ้นอีก
ขณะที่โลกข้างหน้าจะเห็นการชะลอตัวของโลกาภิวัตน์ (Deglobalization) และโลกแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างสหรัฐฯ และจีนที่มีแนวโน้มรับมือกับความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ผ่านการพึ่งพาตนเองหรือประเทศพันธมิตรมากขึ้น และออกมาตรการกีดกันต่างๆ เพื่อสกัดไม่ให้ประเทศที่มองว่าจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติเอาเปรียบและแข่งขันทัดเทียมได้ โดยเฉพาะการเร่งสร้างความแข็งแกร่งของห่วงโซ่การผลิตภายในประเทศ และการสร้างเครือข่ายชาติพันธมิตรเพื่อให้ระเบียบระหว่างประเทศเป็นไปในแบบที่ต้องการ
ทั้งนี้ประเทศไทยต้องกลับมาทบทวนว่าโอกาสของเศรษฐกิจไทยจะอยู่ตรงไหนในสมการโลกแบ่งขั้วมากขึ้นเช่นนี้ ซึ่งบทความนี้ SCB EIC วิเคราะห์และตอบโจทย์เรื่องนี้ใน 3 ประเด็น คือ (1) การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจที่รุนแรงขึ้นจะส่งผลให้เศรษฐกิจและการค้าโลกเปลี่ยนไปอย่างไร (2) ไทยได้หรือเสียประโยชน์จากการแบ่งขั้วอย่างไร และ (3) ภาครัฐและภาคเอกชนไทยจะต้องเตรียมตัวอย่างไร เพื่อให้ไทยมีความพร้อมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตโลกใหม่ที่กำลังแบ่งขั้วรุนแรงขึ้น ท่ามกลางความเสี่ยง ศักยภาพการผลิต และการแข่งขันที่แตกต่างกันในแต่ละอุตสาหกรรม
เศรษฐกิจและการค้าโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไรหลังการแบ่งขั้วเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น
โดยที่ผ่านมาการค้าระหว่างประเทศเชื่อมโยงภาคการผลิตทั่วโลกเป็นห่วงโซ่การผลิตเดียวกัน แต่ละประเทศเลือกนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้าที่เหมาะสมที่สุด โดยพิจารณาจากมิติต่าง ๆ อาทิ ค่าจ้าง ผลิตภาพ และปัจจัยแวดล้อมอื่น อย่างไรก็ตามการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจชัดเจนขึ้นและกีดกันการค้าระหว่างขั้วกันรุนแรงขึ้นจะทำให้รูปแบบโครงสร้างการค้าโลกและห่วงโซ่การผลิตโลกเปลี่ยนแปลงไปเพราะประเทศที่มีจุดยืนทางภูมิรัฐศาสตร์แตกต่างกันจะค้าขาย ลงทุน และถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างกันน้อยลง แต่ละประเทศจะหันมาค้าขายกับประเทศคู่ค้าที่เหมาะสมรองลงมา แต่มีจุดยืนทางภูมิรัฐศาสตร์ไม่ขัดแย้งกันมากขึ้น
ขณะที่ SCB EIC แบ่งกลุ่มประเทศในโลกออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ (1) สหรัฐฯ และประเทศที่มีจุดยืนทางภูมิรัฐศาสตร์ใกล้เคียงกัน (กลุ่มน้ำเงิน) ได้แก่ เม็กซิโก, แคนาดา, สหภาพยุโรป, สหราชอาณาจักร, ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย (2) จีนและประเทศที่มีจุดยืนทางภูมิรัฐศาสตร์ใกล้เคียงกัน (กลุ่มสีแดง) ได้แก่ ฮ่องกง, รัสเซีย, อิหร่าน, สปป.ลาว, กัมพูชาและเมียนมา รวมไปถึง (3) ประเทศที่มีบทบาทเป็นกลางในจุดยืนทางภูมิรัฐศาสตร์ (กลุ่มสีเขียว) คือ อินเดีย อาเซียน-5 (สิงคโปร์, ไทย, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย และฟิลิปปินส์) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, ซาอุดีอาระเบีย, บราซิล, แอฟริกาใต้ สุดท้ายคือ โมร็อกโก
โดยหากพิจารณาข้อมูลการค้าระหว่างกลุ่มประเทศปี 2560 เทียบกับปี 2566 พบว่ารูปแบบการพึ่งพาการค้าระหว่างกลุ่มเริ่มเปลี่ยนแปลงให้เห็นบ้างแล้ว ซึ่งจะเห็นว่ากลุ่มประเทศสีน้ำเงินและกลุ่มสีแดงต่างลดการพึ่งพาการค้าระหว่างกันและหันไปพึ่งพาประเทศที่มีบทบาทเป็นกลางมากขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเช่นเดียวกับประเทศไทยที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้
ทั้งนี้มองไปข้างหน้าเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบอย่างไรหากการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่ง SCB EIC ศึกษาผลกระทบของฉากทัศน์นี้ โดยจำลองสถานการณ์ว่ากลุ่มสีน้ำเงินและกลุ่มสีแดงตั้งกำแพงภาษี (Tariff hike) ระหว่างกัน โดยตั้งอัตราภาษีศุลกากรไว้ที่ 40% ในทุกกลุ่มสินค้า (ไม่รวมบริการ) และใช้ Computable General Equilibrium Model ในการจำลองผลกระทบของการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจต่อเศรษฐกิจการค้าโลกและไทย โดยใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูล Global Trade Analysis Project (GTAP) ผลการศึกษาพบว่า
1.การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจจะทำให้เศรษฐกิจและการค้าโลกชะลอตัวลง
โดยผลการศึกษาพบว่าการตั้งกำแพงภาษีระหว่างขั้วสหรัฐฯและจีนจะส่งผลทำให้มูลค่าการส่งออกรวมของโลกลดลง 10.50% จากกรณีฐานที่โลกยังค้าขายกันตามปกติ โดยส่วนใหญ่ลดลงจากการค้าระหว่างประเทศที่แบ่งขั้วทางเศรษฐกิจ นำโดยการส่งออกของประเทศกลุ่มสีแดง (ไม่รวมจีน) ที่ลดลงถึง 31.50% ตามด้วยจีนลดลง 24.50% สหรัฐฯ ลดลง 20.60% และประเทศกลุ่มสีน้ำเงิน (ไม่รวมสหรัฐฯ) ลดลง 8.30% ขณะที่มูลค่าการส่งออกที่ลดลงนี้ส่งผลทำให้เศรษฐกิจประเทศที่แบ่งขั้วจะหดตัวจากกรณีฐาน สำหรับเศรษฐกิจโลกโดยรวมจะหดตัวลงประมาณ 0.60%
อีกทั้ง จะเห็นได้ว่ากิจกรรมเศรษฐกิจของโลกหดตัวน้อยกว่ามูลค่าการส่งออกโลกสะท้อนว่าประเทศที่แบ่งขั้วมีการปรับตัวโดยหันไปค้าขายกับตลาดที่ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โดยตรง ผลศึกษาในส่วนนี้พบว่า ผู้ส่งออกจากประเทศที่แบ่งขั้วจะปรับตัวโดย
(1.1) หันไปขายสินค้าให้ผู้ซื้อภายในประเทศแทน ซึ่งพบว่ามูลค่าการค้าภายในประเทศของกลุ่มประเทศที่แบ่งขั้วเพิ่มขึ้น 11.4% จากกรณีฐาน
(1.2) หันไปขายสินค้าภายในกลุ่มประเทศที่มีจุดยืนทางภูมิรัฐศาสตร์เหมือนกัน จากรูป 7 ในกรณีสหรัฐฯ และกลุ่มสีน้ำเงินที่ค้าขายกันเองมากขึ้นถึง 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 28% ขณะที่จีนและกลุ่มสีแดงค้าขายกันมากขึ้นประมาณ 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นกว่า 2.2 เท่า
(1.3) หันไปขายสินค้าให้ประเทศที่มีจุดยืนทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นกลาง โดยเฉพาะจีนที่ส่งออกไปยังประเทศที่เป็นกลางรวมถึงไทยเพิ่มขึ้นรวมกว่า 2.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมากกว่า 2 เท่าจากกรณีฐาน
2.ประเทศที่เป็นกลาง (รวมไทย) จะได้อานิสงส์จากการเบี่ยงเบนทางการค้า
เมื่อประเทศที่แบ่งขั้วทางเศรษฐกิจตั้งกำแพงภาษีระหว่างกันทั้งสองฝ่ายจะต้องหันมานำเข้าสินค้าจากประเทศที่ไม่ได้มีจุดยืนทางภูมิรัฐศาสตร์ขัดแย้งกันมากขึ้น รวมถึงประเทศที่เป็นกลางและไทยซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มนี้ด้วยการเบี่ยงเบนทางการค้าจะเป็นอานิสงส์สำหรับกลุ่มประเทศที่เป็นกลาง
ส่วนผลศึกษาในรูป 7 ชี้ว่าไทยจะสามารถส่งออกสินค้าไปขายตลาดประเทศที่แบ่งขั้วรวมกันได้มากขึ้นถึง 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นกว่า 22% จากกรณีฐานนอกจากประเทศที่เป็นกลางจะได้ประโยชน์จากการส่งออกที่เพิ่มขึ้นแล้วยังจะได้รับเงินลงทุนจากประเทศแบ่งขั้วที่ต้องการเข้ามาตั้งฐานการผลิตเพื่อขายสินค้าภายในประเทศนั้นๆ หรือส่งออกตลาดต่างประเทศ ผลการจำลองสถานการณ์พบว่า ไทยจะมีเม็ดเงินลงทุนรวม (มูลค่าที่แท้จริง) เพิ่มขึ้นถึง 27.3% ขณะที่การลงทุนจากเงินออมภายในประเทศจะเติบโตขึ้น 4.30%
อย่างไรก็ตามการเบี่ยงเบนทางการค้าอาจไม่ได้มีแต่ข้อดีเสมอไปเพราะสินค้าส่งออกจากประเทศแบ่งขั้วอาจเข้ามาตีตลาดภายในประเทศที่เป็นกลางมากขึ้นและแย่งส่วนแบ่งตลาดของธุรกิจในประเทศ โดยเฉพาะสินค้าราคาถูกจากจีนที่อาศัยความได้เปรียบในการผลิตขนาดใหญ่ (Economy of scale) ดังเช่นสถานการณ์ที่ผ่านมา ส่งผลให้หลายประเทศอาเซียนและไทยเริ่มมองเห็นปัจจัยเสี่ยงจากการระบายสินค้าส่งออกจากจีนที่เพิ่มขึ้นมากและการขาดดุลการค้ากับจีนสูงขึ้น
โดยจะเห็นได้ว่าการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจมาพร้อมกับการเบี่ยงเบนทางการค้าและการลงทุน ซึ่งมีทั้งประโยชน์และโทษ จากการจำลองสถานการณ์นี้พบว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวขึ้นประมาณ 0.5% จากกรณีฐาน สะท้อนว่าโดยรวมแล้วการเบี่ยงเบนการค้าและการลงทุนจะให้ผลบวกต่อเศรษฐกิจไทยมากกว่าผลข้างเคียงจากสินค้านำเข้าราคาถูกที่จะเข้ามาแข่งขันกับธุรกิจภายในประเทศ
- โอกาสของไทยในวันที่โลกแบ่งขั้วมากขึ้น
ขณะที่จากผลการศึกษาในส่วนแรกพบว่า ไทยมีโอกาสจะได้อานิสงส์หากโลกแบ่งขั้วรุนแรงขึ้นอีก โดยผลบวกต่อการส่งออกไทยจะขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของการตั้งกำแพงภาษีของประเทศแบ่งขั้วจากภาพประกอบ
โดยได้แสดงผลของการปรับอัตราภาษีนำเข้าของแต่ละขั้วประเทศต่อมูลค่าการส่งออกของไทยจะเห็นได้ว่ามูลค่าการส่งออกไทยจะเพิ่มขึ้นอีก หากสองขั้วประเทศยิ่งปรับอัตราภาษีนำเข้าระหว่างกันเพิ่มเป็น 50% สะท้อนว่าหากสงครามการค้ารุนแรงขึ้น ผลบวกต่อการส่งออกไทยจากการเบี่ยงเบนการค้าและการลงทุนมาสู่ไทยจะมากกว่าผลลบจากความต้องการนำเข้าที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่ที่ปรับแย่ลง โดยสุทธิแล้วมูลค่าการส่งออกของไทยจะยังคงเพิ่มขึ้น
สำหรับภาคอุตสาหกรรมไทยผลการศึกษาจากสถานการณ์จำลองชี้ว่าจะได้รับผลกระทบแตกต่างกัน แบ่งได้ 2 กลุ่ม
1.กลุ่มที่มีโอกาสได้ประโยชน์จากโลกแบ่งขั้วรุนแรงขึ้น ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมที่เคยมีการย้ายฐานการผลิตเข้ามาไทยตั้งแต่เริ่มสงครามการค้าในปี 2018 ก่อนหน้านี้แล้ว ส่งผลให้ไทยมีจุดแข็งด้านห่วงโซ่การผลิตภายในประเทศ คือ คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์และส่วนประกอบหรือเป็นอุตสาหกรรมที่ไทยจะได้อุปสงค์สินค้าทดแทนเพิ่มขึ้นจากกลุ่มประเทศที่แบ่งขั้วกัน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่เกิดจากข้อพิพาททางการค้า อาทิ เครื่องดื่มและยาสูบ เนื้อสัตว์และเนื้อสัตว์แปรรูป ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าส่งออกที่ไทยมีความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกอยู่แล้วและโลกยังมีความต้องการสินค้าเหล่านี้สูงขึ้น โดยผลการศึกษาพบดังต่อไปนี้
1.1 คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่าการส่งออกสินค้ากลุ่มนี้อาจขยายตัวได้ถึง 6% จากกรณีฐาน โดยจะมีความต้องการนำเข้าที่เบี่ยงเบนมาจากกลุ่มที่แบ่งขั้วกันเป็นหลัก เช่น สหรัฐฯ จีน และญี่ปุ่น
1.2 รถยนต์และส่วนประกอบ มูลค่าการส่งออกสินค้ากลุ่มนี้จะเพิ่มขึ้นประมาณ 8% และ 1.6% ตามลำดับ โดยมีความต้องการนำเข้าเพิ่มขึ้นจากประเทศเป็นกลางด้วยกัน เช่น ฟิลิปปินส์ แอฟริกาใต้ รวมถึงประเทศขั้วสีแดง
1.3 เครื่องดื่มและยาสูบ มูลค่าการส่งออกสินค้ากลุ่มนี้จะเพิ่มขึ้นประมาณ 3% โดยจะมีความต้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นหลัก ๆ จากประเทศเป็นกลางในภูมิภาคเดียวกัน เช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย
2.กลุ่มที่มีโอกาสเสียประโยชน์จากโลกแบ่งขั้วรุนแรงขึ้น ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมไทยที่ผูกโยงกับห่วงโซ่การผลิตของจีนหรือพึ่งพาอุปสงค์จากตลาดจีนเยอะ ได้แก่ ปิโตรเคมีและพลาสติก, ยางพาราและไม้ยางพารา, ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์, แผงวงจรพิมพ์, อาหารทะเลแปรรูปและแช่แข็งหรือเป็นอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันรุนแรงภายในภูมิภาคเพื่อแย่งชิงอุปสงค์ทดแทนจีนจากสหรัฐฯที่สูงขึ้น เช่น เฟอร์นิเจอร์ เซมิคอนดักเตอร์
รวมทั้งอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการทุ่มตลาดของสินค้าจีน คือ เครื่องใช้ไฟฟ้า, สิ่งทอ, เหล็กและเหล็กกล้า ผักและผลไม้ เสื้อผ้า สิ่งทอ รวมไปถึงอาจมีผู้ผลิตจากขั้วประเทศสีแดงย้ายฐานการผลิตออกมาผลิตแข่งกับอุตสาหกรรมในประเทศเพื่อลดการกีดกันการส่งออกสินค้าจากประเทศของตน โดยพบว่า
2.1 เสื้อผ้าและสิ่งทอ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกของไทยที่ยังผูกโยงกับห่วงโซ่การผลิตโลกเก่าและมีความสามารถในการแข่งขันลดลง โดยมูลค่าการส่งออกสิ่งทอไทยจะลดลงมากถึง 24% จากกรณีฐาน
2.2 เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นอีกหนึ่งสาขาการผลิตขนาดใหญ่ที่จะเสียประโยชน์ มูลค่าการส่งออกอาจลดลงราว 6% อย่างไรก็ดี แม้จะมีการแข่งขันสูงในการส่งออกสินค้าเหล่านี้ แต่ไทยยังพอมีตลาดส่งออกไปยังประเทศแบ่งขั้วที่ต้องการสินค้านำเข้าทดแทนได้อยู่บ้าง
ภาครัฐและภาคธุรกิจไทยจะต้องดำเนินการเชิงรุกอย่างไร
ทั้งนี้ หากพูดถึงผลการศึกษาภาครัฐและภาคธุรกิจไทยจะต้องดำเนินการเชิงรุกอย่างไร ผลการศึกษาข้างต้นชี้ว่า หากการแบ่งขั้วในโลกรุนแรงขึ้นจะเป็นโอกาสของไทยได้ถ้าไทยมีกลยุทธ์ในการปรับตัวเชิงรุก เพราะส่วนหนึ่งไทยต้องเร่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคการผลิตที่เป็นปัญหาสะสมมานาน ในช่วงที่ผ่านมาความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกไทยยังมีจำกัด และมีศักยภาพการส่งออกต่ำกว่าประเทศคู่แข่ง เพราะสินค้าส่งออกไทยส่วนใหญ่ยังผูกโยงกับห่วงโซ่การผลิตของโลกเก่า และปรับตัวได้ค่อนข้างช้าต่อความต้องการสินค้าในตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงไป
ขณะที่จากข้อมูลเฉลี่ยปี 2561-2565 พบว่าสินค้าส่งออกไทย 23% ของมูลค่าการส่งออกไทยทั้งหมดจัดอยู่ในกลุ่มสินค้าที่ความต้องการโลกเพิ่มขึ้น ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นไม่มากจากค่าเฉลี่ยช่วงปี 2556–2560 ที่ 16% แต่หากเทียบกับบางประเทศในภูมิภาค เช่นเวียดนามกลับสามารถส่งออกสินค้าที่โลกต้องการเพิ่มขึ้นภายในช่วงเวลาเดียวกันนี้ได้เกือบเท่าตัว (รูปที่ 10) คำถามสำคัญคือไทยจะวางยุทธศาสตร์ในอนาคตอย่างไร เพื่อเร่งให้ภาคการผลิตไทยเข้าไปมีส่วนร่วมปรับห่วงโซ่การผลิตใหม่ของโลกได้เร็วขึ้น
ขณะที่มองว่าภาครัฐและภาคธุรกิจจะมีบทบาทสำคัญในการออกแบบและขับเคลื่อนกลยุทธ์การปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมไทย โดยต้องวางกลยุทธ์ให้แตกต่างกันระหว่างกลุ่มสินค้าที่ไทยจะได้หรือเสียประโยชน์ในการผลิต การส่งออกจากการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่การผลิตของโลก ซึ่งอาจเผชิญความเสี่ยงจากหลายปัจจัยและการแข่งขันสูงเพิ่มเติม โดยเฉพาะจากประเทศคู่แข่งทางการค้าในภูมิภาค ดังนั้น การวางกลยุทธ์ต้องต่างกันไปตามประสิทธิภาพการผลิตและระดับการแข่งขันของอุตสาหกรรมนั้นๆ
โดย SCB EIC จัดกลุ่มอุตสาหกรรมเพื่อนำเสนอกลยุทธ์ในการปรับตัวของภาครัฐและภาคธุรกิจ โดยประเมินจาก (1)ปัจจัยศักยภาพการผลิต จากความพร้อมหลายด้าน อาทิ แรงงาน เทคโนโลยี การจัดหาวัตถุดิบในประเทศและห่วงโซ่อุปทานที่ครบวงจร ตลอดจนความเสี่ยงของอุตสาหกรรม อาทิ การแข่งขันด้านราคา, อุปทานล้นตลาด, ต้นทุนการผลิตสูง, การกีดกันทางการค้า, สภาพอากาศ,เปลี่ยนแปลงและพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน รวมถึง (2) ปัจจัยการแข่งขันในระดับอุตสาหกรรม
ทั้งนี้จากการจัดกลุ่มพบว่า แม้บางอุตสาหกรรมอาจได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่การผลิตโลก แต่อาจเผชิญความเสี่ยงและการแข่งขันที่สูงขึ้น เช่น อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ แม้ปัจจุบันจะยังขาดการพัฒนาอุตสาหกรรมในระดับต้นน้ำ แต่มีแนวโน้มได้ประโยชน์จากการแบ่งขั้วที่ทำให้เกิดการลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น ขณะที่อุตสาหกรรมรถยนต์และส่วนประกอบก็กำลังถูกท้าทายจากกระแสยานยนต์ไฟฟ้า
โดยแม้ว่าไทยจะเป็นหนึ่งในผู้นำการผลิตของโลก แต่ความพร้อมยังคงกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มรถสันดาปส่งผลให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตฯ ยานยนต์ไฟฟ้ายังทำได้จำกัด โดยเฉพาะจากปัญหาขาดแคลนแรงงานทักษะเฉพาะทางและการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการในท้องถิ่นให้เข้าไปมีส่วนร่วมใน EV global supply chain ในทางกลับกันบางอุตสาหกรรมอาจได้ประโยชน์จากโลกแบ่งขั้วรุนแรงขึ้น แต่ไม่ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง เช่น ผลไม้สดแช่เย็นและแช่แข็ง ซึ่งไทยมีความพร้อมด้านวัตถุดิบ
รวมทั้งยังมีชื่อเสียงและคุณภาพซึ่งเป็นที่ยอมรับในตลาดโลกมาอย่างยาวนาน อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังคือ ปัญหา Climate change ที่อาจส่งผลกระทบต่อทั้งคุณภาพและปริมาณผลผลิตผลไม้ของไทยในระยะต่อไป
SCB EIC นำเสนอกลยุทธ์ส่งเสริมการส่งออกของไทยและการปรับตัวภาคธุรกิจเชิงรุก ดังนี้
1.) กลุ่มสินค้าที่ไทยผลิตเก่ง แต่แข่งขันสูง โดยนโยบายภาครัฐควรเน้นพัฒนาความสามารถในการผลิต สร้างมูลค่าเพิ่ม และความได้เปรียบในการแข่งขัน ขณะที่ภาคธุรกิจต้องปรับตัวชูจุดแข็งของสินค้าและเจาะตลาดเป้าหมาย รวมถึงวางกลยุทธ์เพิ่มส่วนแบ่งตลาด และปรับสินค้าให้ทันเทรนด์โลก โดยแบ่งเป็นข้อดังต่อไปนี้
-บทบาทภาครัฐ : 1.เน้นให้เงินสนับสนุนให้ผู้ส่งออกแข่งขันได้ อาทิ อุดหนุนต้นทุนการผลิตหรืออุดหนุนการลงทุนด้านการตลาด เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง และ 2.ส่งเสริมให้ผู้ส่งออกหาพันธมิตรบนห่วงโซ่การผลิตอย่างมีกลยุทธ์ เช่น การสนับสนุนให้ผู้ส่งออกไทยเข้าถึงโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ทางการค้ากับคู่ค้าที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ หรือการควบรวม Supplier ที่จะช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน (Vertical integration)
-การปรับตัวของภาคธุรกิจ : 1.คัดกรองสินค้าและตลาดเป้าหมายที่สอดคล้องกับจุดแข็งของธุรกิจ และวางกลยุทธ์เพื่อเพิ่มความสามารถในการผลิต โดยต่อยอดจากจุดแข็งที่มี 2.วางกลยุทธ์ในการรักษาหรือเพิ่มส่วนแบ่งตลาดลดการพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดเดิมๆ 3.พัฒนา High-value product และพัฒนาสินค้าที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน ปรับผลิตภัณฑ์ให้สอดรับกับเทรนด์ของโลกมากขึ้น 4.ปรับปรุงกระบวนการผลิต เน้นการวิจัยและพัฒนา
2.) กลุ่มสินค้าที่ไทยผลิตเก่งและไม่ต้องแข่งขันสูงนโยบายภาครัฐควรสนับสนุนให้ผู้ส่งออกเปิดตลาดใหม่กระจายความเสี่ยง และยกระดับกระบวนการผลิตตามมาตรฐานความยั่งยืน ขณะที่ภาคธุรกิจต้องปรับตัวลดความเสี่ยงจาก Climate change และลงทุนพลังงานหมุนเวียน ซึ่งแบ่งบทบาทดังนี้
-บทบาทภาครัฐ : 1.สนับสนุนให้ผู้ส่งออกเปิดตลาดใหม่ เพื่อคว้าโอกาสทางธุรกิจและกระจายความเสี่ยง 2.สร้างแรงจูงใจให้ผู้ส่งออกยกระดับกระบวนการผลิตตามมาตรฐานความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม
– การปรับตัวของภาคธุรกิจ : 1.ลดความเสี่ยง โดยลงทุนเพื่อคว้าโอกาส และลดผลกระทบด้านต่าง ๆ เช่น Climate change และ 2.เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และใช้พลังงานหมุนเวียนในรูปแบบต่างๆ
3.) กลุ่มสินค้าที่ไทยผลิตไม่เก่ง แต่ไม่ต้องแข่งขันสูงนโยบายภาครัฐควรให้สิทธิประโยชน์จูงใจให้ดำเนินธุรกิจเดิม แต่ลงทุนเพิ่มศักยภาพการผลิต มุ่งตลาดส่งออกที่มีอยู่ ขณะที่ภาคธุรกิจควรปรับตัวเพิ่มศักยภาพเทคโนโลยีการผลิตและสร้างความเข้าใจประเทศแบ่งขั้วให้เข้าถึงความต้องการได้ดีขึ้น โดยแบ่งเป็น
-บทบาทภาครัฐ : 1.ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี / ให้เงินอุดหนุนสำหรับการลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพด้านเทคโนโลยีการผลิต (2) สร้างเครือข่ายระหว่างผู้ส่งออก มหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัย เพื่อให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมร่วมกัน
-การปรับตัวของภาคธุรกิจ : 1.เพิ่มศักยภาพด้านเทคโนโลยีการผลิตและองค์ความรู้ (2) เพิ่มความสัมพันธ์ของสหรัฐฯ และจีน โดยผลักดันการเป็นฐานการผลิต เช่น ใช้เทคโนโลยีของจีนในการผลิตและส่งออกไปยังสหรัฐฯ
4.) กลุ่มสินค้าที่ไทยผลิตไม่เก่งและแข่งขันสูงนโยบายภาครัฐควรช่วยให้ธุรกิจเปลี่ยนผ่านไปยังภาคการผลิตที่มีศักยภาพในการเติบโตบนห่วงโซ่การผลิตใหม่ได้ ขณะที่ภาคธุรกิจควรเร่งปรับตัวสู่ห่วงโซ่การผลิตใหม่และหาพันธมิตรด้านเทคโนโลยี
-บทบาทภาครัฐ : 1.ชี้เป้าหมายสาขาการผลิตที่มีศักยภาพดีกว่า และช่วยให้ผู้ส่งออกมีความได้เปรียบในการปรับตัวไปสู่ภาคการผลิตดังกล่าว 2.ให้เงินอุดหนุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อให้ผู้ส่งออกย้ายภาคการผลิต 3.ปรับปรุงโครงสร้างเชิงสถาบัน เช่น กฎหมาย เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจที่ล้มเหลวกลับเข้าดำเนินการได้ในภาคการผลิตที่มีศักยภาพมากกว่า
-การปรับตัวของภาคธุรกิจ : 1.ลงทุนสร้างห่วงโซ่มูลค่าในสินค้าอื่น ๆ เช่น สินค้าเกษตรมูลค่าสูงอื่นๆ เพื่อเพิ่มรายได้เกษตรกร 2. หาพันธมิตรที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีใหม่
สุดท้ายจากบทความนี้ โลกที่แบ่งขั้วไปแล้วคงยากจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ไทยสามารถคว้าโอกาสจากความขัดแย้งนี้ และเปลี่ยนให้เป็นประโยชน์กับประเทศได้ โดยอาศัยความร่วมมือทั้งจากภาครัฐ ผ่านการออกแบบนโยบายเชิงกลยุทธ์ที่เหมาะสม พอดีตัว กับประเภทธุรกิจที่มีปัญหาแตกต่างกัน และผลักดันเชิงรุกเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในภาคการส่งออก รวมถึงภาคธุรกิจเองที่ต้องตระหนักถึงโลกที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โดยต้องเร่งทำความเข้าใจถึงความเชื่อมโยงที่เกิดขึ้นจากภายนอกสู่ภายในธุรกิจของตนเอง เพื่อให้การส่งออกไทยอยู่รอดได้ทั้งในสถานการณ์ “โลกรวมกันเราก็อยู่” หรือแม้ “โลกแยกหมู่ไทยก็ยังรอด”