CGSI หั่นคำแนะนำ “หุ้นแบงก์” เหลือ “ถือ” เซ่น NPL พุ่ง-รายได้ดอกเบี้ยลด

CGSI ปรับลดคำแนะนำหุ้นกลุ่มแบงก์เหลือ “ถือ” หลังมองว่า NPL จะเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารในช่วงปี 67-69


บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (17 มิ.ย.67) คาดการณ์ว่าธนาคารพาณิชย์ไทยจะมีสินเชื่อขยายตัวสูงขึ้นในอัตรา 3.20-3.30% ในปี 67-68 จาก 0% ในปีที่ผ่านมา นำโดยกลุ่มสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อ SME เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและทำธุรกิจในต่างประเทศ

ขณะเดียวกัน เชื่อว่าสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคจะเติบโตช้ากว่าจากปัญหานี้ครัวเรือนสูง, การที่ธนาคารเพิ่มความเข้มงวดของหลักเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อรวมทั้ง NPL ที่เพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้เชื่อว่ารายได้ดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารจะเติบโตลดลงเหลือ 0.20-3.50% ในปี 67-69 เมื่อเทียบกับ 12.60-18.10% ในปี 65-66 เพราะเราคาดว่าต้นทุนดอกเบี้ยจะสูงขึ้นและจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

ทั้งนี้ แม้ว่าธนาคารมีความเข้มงวดมากขึ้นในการพิจารณาสินเชื่อให้กับลูกค้า SME และมีการปล่อยกู้ให้กับลูกค้ากลุ่มนี้น้อยลงตั้งแต่ปี 60 แต่ยังมีความกังวลกับคุณภาพสินทรัพย์ของสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคมากขึ้นเนื่องจากในปี 66 อัตราส่วน NPL ของผลิตภัณฑ์สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคทุกกลุ่มเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่ในไตรมาส 1/67 พบว่าอัตราส่วน NPL ของสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยพุ่งสูงถึง 102bp เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 33bp เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 40-50bp เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในปี 67 ทั้งนี้กลุ่มธนาคารมีอัตราการเกิด NPL ใหม่ในไตรมาส 1/67 สูงกว่าค่าเฉลี่ยรายไตรมาสในไตรมาส 2/63-ไตรมาส 4/66

พร้อมกันนี้ ฝ่ายวิจัยปรับประมาณการกำไรในปี 67-68 ของ BBL, KBANK และ TTB ขึ้น 3.80-16.20% แต่ปรับของ KTB และ SCB ลง 9.50-20% พร้อมทั้งนำเสนอตัวเลขประมาณการในปี 69 ในบทวิเคราะห์ฉบับนี้

นอกจากนี้ ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายตามวิธี GGM (Gordon Growth Model) ของ KBANK จาก 168 บาทเป็น 178 บาท และ TTB จาก 1.44 บาทเป็น 1.65 บาท

ขณะที่ปรับลดราคาเป้าหมายของ BBL จาก 193 บาทเป็น 183 บาท, KTB จาก 22.30 บาทเป็น 17.30 บาทและ SCB จาก 145 บาทเป็น 100 บาท

สำหรับคำแนะนำ ยังแนะนำ “ซื้อ” BBL และ KBANK แต่ปรับลดคำแนะนำของ KTB, SCB และ TTB จาก “ซื้อ” เป็น “ถือ” ปัจจุบัน กลุ่มธนาคารซื้อขายอยู่ที่ P/BV 0.6 เท่า ในปี 67 หรือ -1SD ของค่าเฉลี่ยสิบปี อีกทั้งมีสัดส่วนการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างชาติต่ำที่สุดตั้งแต่ปี 48 ที่ 41.40% ณ วันที่ 24 พ.ค.67 เทียบกับสถิติสูงสุดที่ 61% ในเดือนพ.ย. 60

โดยปัจจุบัน เลือก BBL และ KBANK เป็นหุ้น Top pick ของกลุ่มธนาคารไทยเนื่องจากธนาคารทั้งสองแห่งมีสัดส่วนสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคน้อยกว่าและยังมีงบดุลแข็งแกร่ง ขณะที่ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มธนาคารภายใต้สมมติฐานที่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้, กลุ่มสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคมี NPL สูงขึ้นและกำไรก่อนตั้งสำรอง (PPOP) เติบโตต่ำในปี 67-68

อย่างไรก็ตาม กลุ่มธนาคารจะมี upside risk หากการบริโภคภาคเอกชนเพิ่มขึ้น, การส่งออกเติบโตดีขึ้นและรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ ส่วน downside risk จะมาจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ลดลงและความวุ่นวายทางการเมืองในไทย

Back to top button