“ประธานตลท.” ยัน “อัสสเดช” ไม่มีเอี่ยวคดี STARK หลังเคยเป็น FA ดีลอยท์

“ประธานตลท.” มั่นใจ “อัสสเดช คงสิริ” ไม่มีเอี่ยวคดี STARK หลังเคยเป็นที่ปรึกษาการเงินดีลอยท์  ยันคัดเลือกผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯโปร่งใส  พร้อมฝากแก้ปัญหาความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย


ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า การคัดเลือกนายอัสสเดช คงสิริ เป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ คนที่ 14 ยืนยันว่ามีความโปร่งใสและมีความน่าเชื่อถือของกระบวนการคัดเลือก จากกรรมการคัดเลือกทั้งหมด 10 คน

พร้อมกันนี้ยืนยันว่า นายอัสสเดช ไม่ได้เกี่ยวข้องกับมีส่วนเกี่ยวข้องการตรวจสอบบัญชีของ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ตามข่าวต่างๆที่ออกมาแม้ว่าจะทำงานเป็นหัวหน้าทีมที่ปรึกษาการเงินของ Deloitte Thailand ซึ่งอยู่ในเครือเดียวกับบริษัทที่ตรวจสอบบัญชี STARK คือ บริษัท ดีลอยท์ ทู้ช โธมัทสุ ไชยยศ สอบบัญชี จำกัด ซึ่ง นายอัสสเดช เข้ามาเริ่มงานกับ Deloitte Thailand ในปี 65 หลังจาก STARK เปลี่ยนผู้สอบบัญชีในปี 64 โดยมั่นใจได้ว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบ STARK

ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์  กล่าวว่า ขณะที่แม้ว่าจะเคยร่วมงานกับ นายอัสสเดช สมัยที่เข้าไปทำแผนฟื้นฟู บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI แต่ในฐานะของประธานกรรมการ ตลท. ซึ่งเป็นเพียง 1 ใน 10 ของคณะกรรมการคัดเลือกผู้จัดการ ตลท.คนใหม่ ไม่สามารถไปบังคับกรรมการอีก 9 คนได้ ทั้งนี้ นายอัสสเดช สามารถนำเสนอวิสัยทัศน์ที่ดีและเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ด้านตลาดเงิน ตลาดทุน และมีประสบการณ์ทำงานในองค์กรระดับโลกทำให้คณะกรรมการคัดเลือกตัดสินใจเลือกเพื่อดำรงตำแหน่งเป็นผู้จัดการ ตลท.คนที่ 14

“ผมเคลียร์ประเด็นข่าวลือต่าง ๆ เกี่ยวกับ STARK ที่เกี่ยวข้องกับคุณอัสสเดช ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย มีการนำเสนอข้อมูลที่ผิดพลาดไปจากสื่อออนไลน์ต่างๆ ซึ่งอยากให้ทุกคนพิจารณาข้อมูลดี ๆ เช็คให้ชัวร์ก่อนแชร์ การคัดเลือกผู้จัดการตลาดฯ ก็ยืนยันว่ามีความโปร่งใส เลือกจากประสบการณ์ ความสามารถ และ Vision ที่เขานำเสนอมามีความน่าสนใจ ก็อยากให้ทุกคนมั่นใจ ซึ่งตลาดหุ้นตกในวันนี้คงไม่เกี่ยวข้องกับผู้จัดการตลาดฯคนใหม่ อาจเป็นเรื่องการเมืองมากกว่า” ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ กล่าว

สำหรับเรื่องแรกที่ต้องการให้ ผู้จัดการ ตลท.คนที่ 14 แก้ไข้ คือ การฟื้นความเชื่อมั่นให้กับตลาดทุนไทยนับสิ่งสำคัญที่จะผลักดันตลาดทุนไทยให้ฟื้นกลับมา รวมถึงแผนงานในการดูแลนักลงทุนรายย่อย ซึ่งเป็นกลุ่มนักลงทุนที่มีความสำคัญต่อตลาดหุ้นไทย ประกอบกับ การสร้างจุดขายให้กับตลาดหุ้นไทย ทำให้นักลงทุนทั่วโลกหันกลับมาสนใจตลาดหุ้นไทยมากขึ้น

ขณะเดียวกันมีหนึ่งวิสัยทัศน์ที่ นายอัสสเดช นำเสนอมีความน่าสนใจ อาทิ การให้บริษัทจดทะเบียนจัดทำแผนการดำเนินงาน 3 ปี ส่งมาให้กับทาง ตลท.เพื่อทำให้มีข้อมูลในระยะกลางของ เพื่อเผยแพร่ให้กับนักลงทุนจากปัจจุบันที่ข้อมูลที่ส่งมาส่วนใหญ่เป็นข้อมูลปัจจุบัน ซึ่งอาจจะไม่เพียงพอในการประเมินและใช้ประกอบการตัดสินลงทุน รวมถึงไม่สามารถประเมินอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ในอนาคตได้ โดยแนวทางการจัดทำแผน 3 ปีจะทำให้นักลงทุนสามารถประเมินมูลค่าของธุรกิจและผลตอบแทนจากการลงทุนในอนาคตได้ ซึ่งมีตัวอย่างในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่ใช้อยู่ เป็นต้น

Back to top button