สอย 8 หุ้นค้าปลีก จ่อรับ “มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ” โบรกชู SABINA-MC ท็อปพิก!

โบรกคัด 8 หุ้นค้าปลีก “CPAXT-BJC-CRC-HMPRO-DOHOME-AURA-SABINA-MC” จ่อรับอานิสงส์ “มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ” จากภาครัฐ ชี้ SABINA-MC เด่นสุด ปันผลสูง-แนวโน้มยอดขายออนไลน์แกร่ง


บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 67 ว่า จากงาน “Corporate Day” ในกลุ่มค้าปลีกของธนาคารทิสโก้ ซึ่งประกอบด้วยบริษัทต่างๆ อาทิ CPAXT, BJC, CRC, HMPRO, DOHOME, AURA, SABINA และ MC ตามลำดับ

ทั้งนี้แนวโน้มภาพรวมของกลุ่มนี้มีความผสมผสานกัน สำหรับการค้าปลีก ประเด็นที่นักลงทุนแสดงความกังวลมากที่สุดคือการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ผลการดำเนินงานของบริษัทวัสดุก่อสร้างและตกแต่งบ้านยังไม่ค่อยดีนัก แต่น่าจะได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ (เช่น กระเป๋าเงินดิจิทัล) ที่จะช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมนี้มีผลประกอบการที่ดีขึ้น โดยคาดว่า SABINA น่าจะมีการเติบโตของรายได้ที่น่าสนใจ จากการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด ขณะที่ MC มีแนวโน้มยอดขายออนไลน์ที่แข็งแกร่งพร้อมกับการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT คาดการณ์ว่ายอดขายปลีกสาขาเดิม (Retail SSSg) ในไตรมาสนี้จะเพิ่มขึ้นในระดับ mid-single digit และยอดขายส่งสาขาเดิม (Wholesale SSSg) จะเพิ่มขึ้นในระดับ low-single digit ตามลำดับ โดยนักลงทุนให้ความสนใจ CPAXT อย่างมากหลังจากการประกาศผลประกอบการล่าสุด และผลกระทบต่อเป้าหมายของฝ่ายบริหาร นักลงทุนได้ระบุประเด็นกังวลหลายประการ เช่น เป้าหมายอัตรากำไรขั้นต้นปลีก (Retail GPM) ที่เพิ่มขึ้น 50bps, ค่าใช้จ่ายในการบริหารและขายของธุรกิจขายส่งที่อยู่ในระดับสูง ผลการดำเนินงานของธุรกิจค้าปลีกในมาเลเซีย และภาวการณ์แข่งขันในธุรกิจ

ทั้งนี้ บริษัทได้ชี้แจงว่า เป้าหมายอัตรากำไรขั้นต้นปลีกดังกล่าวนั้น มุ่งเน้นเฉพาะส่วนของประเทศไทย โดยในไตรมาส 1 อัตรากำไรขั้นต้นปลีกเพิ่มขึ้น 10bps จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 20-30bps ในไตรมาส 2 โดยผู้บริหารมั่นใจว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังของปี จะบรรลุเป้าหมาย โดยได้รับแรงสนับสนุนจากยอดขายอาหารสด, เครื่องสำอาง และสินค้า Private Label โดยค่าใช้จ่ายด้านการบริหารและขายของธุรกิจขายส่งที่เกี่ยวข้องกับการทำ Omni-channel น่าจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป ในอัตราที่ชะลอลง

สำหรับธุรกิจในมาเลเซีย บริษัทคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะดีขึ้นในไตรมาส 2 เนื่องจากยอดขายของสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำ เช่น บุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ลดลงจากจุดสูงสุดในไตรมาส 1 รวมถึงบรรยากาศการแข่งขันที่ผ่อนคลายลง โดยกลุ่มธุรกิจขายส่งพบการแข่งขันด้านราคาในพื้นที่ที่มีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามา แต่ผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในปัจจุบันยังจำกัด เนื่องจากจำนวนผู้ซื้อในพื้นที่เหล่านี้ได้เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงให้คำแนะนำ “ซื้อ” CPAXT ให้มูลค่าเหมาะสม 36.00 บาท จากผลประโยชน์การ synergy ระหว่าง Makro และ Lotus รวมถึงแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐในช่วงครึ่งปีหลัง

บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC คาดการณ์ว่ายอดขายปลีกสาขาเดิม (SSSg) ของห้างสรรพสินค้า (MSC) ในไตรมาสนี้จะลดลงในระดับ low-single-digit อย่างไรก็ตาม สำหรับเดือนมิถุนายน ยอดขายมีการเติบโตในระดับ low-single digit ซึ่งถือเป็นการดีขึ้นต่อเนื่องจากเดือนพฤษภาคมและเมษายน โดย BJC ได้รับความสนใจปานกลางจากนักลงทุน โดยเฉพาะจากผลประกอบการในไตรมาส 1 และการอัพเดตประเด็นต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งนักลงทุนต้องการคำชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายภาษีครั้งเดียวที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ BigC ระหว่างปี 2562 -2566

ทั้งนี้ ประเด็นอื่นๆ ที่ได้รับความสนใจ ได้แก่ แผนการระดมทุน IPO ของกลุ่มธุรกิจค้าปลีก, ความคืบหน้าในการปรับปรุงร้านค้า และการพัฒนาพื้นที่ให้เช่า, กระบวนการ IPO ยังคงดำเนินไปตามแผน โดย BJC มุ่งหวังที่จะนำกลุ่มธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และยังศึกษาความเป็นไปได้ในการนำธุรกิจในประเทศอื่นๆ เข้าจดทะเบียนด้วย โดยBJC มีเป้าหมายปรับปรุงร้านค้า 18 แห่งในปีนี้ และปัจจุบันได้เสร็จสิ้นการปรับปรุงแล้ว 11 แห่ง อีกทั้งยังมีแผนปรับปรุงร้านค้าอีก 4 แห่งในไตรมาส 2

นอกจากนี้ การปรับปรุงพื้นที่ให้เช่าที่ราชดำริควรแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงให้คำแนะนา “ซื้อ” BJC ให้มูลค่าที่เหมาะสมที่ 31.00 บาท จากการฟื้นตัวของธุรกิจห้างสรรพสินค้า ซึ่งได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อผลประกอบการในพื้นที่ต่างจังหวัดด้วย ขณะเดียวกัน คาดว่าธุรกิจอื่นๆ ในห่วงโซ่อุปทานจะยังคงเติบโตต่อไป

บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC คาดการณ์ว่ายอดขายสาขาเดิม (SSSg) ในไตรมาสนี้จะลดลงในระดับ low-single-digit โดยผลประกอบการของไทยวัสดุได้ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากเดือนเมษายน-พฤษภาคม แต่โดยรวมแล้วกลุ่ม Hardline ยังคงเผชิญความท้าทายอย่างมาก สำหรับห้างสรรพสินค้าที่เน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งในเดือนเมษายน ขณะที่การดำเนินงานในจังหวัดต่างๆ ก็แสดงสัญญาณที่น่าพอใจ

โดยCRC มีแผนปรับปรุงสาขาในเวียดนาม และนำรูปแบบใหม่มาใช้กับสาขา mini-GO ซึ่งประเด็นที่น่ากังวล ได้แก่ การฟื้นตัวที่ช้าของธุรกิจอาหารในเวียดนาม และผลกระทบจากสภาพอากาศที่ชุ่มฉ่ำต่อการเติบโตของยอดขาย Power Buy และ COL ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงให้คำแนะนา “ซื้อ” CRC ให้มูลค่าที่เหมาะสม 49.00 บาท จากการมี contribution มากขึ้นของร้านค้ารูปแบบใหม่และสาขาที่ได้รับการปรับปรุง

บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO ประสบกับการลดลงของยอดขายสาขาเดิม (SSSg) ในไตรมาสนี้ เนื่องจากการปิดสาขาบางแห่ง การชะงักของการก่อสร้างในบางพื้นที่ และการไม่มีงานอีเวนต์ขนาดใหญ่ โดยบริษัทตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากสินค้า Private label ประมาณ 1% ต่อปี โดยมีเป้าหมายระยะกลางที่ 25% อย่างไรก็ตาม HMPRO คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ และมาตรการกระเป๋าเงินดิจิทัล แต่ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับขั้นตอนสุดท้ายของโครงการ โดยเฉพาะการถอนเงิน จากเงินที่ใช้จ่ายผ่านมาตรการดังกล่าว

ทั้งนี้อัตรากำไรขั้นต้นของการดำเนินงานโดยรวมปรับตัวดีขึ้น แต่การดำเนินงานในมาเลเซียยังคงเป็นปัจจัยกดดัน โดยคาดว่ายอดขายสาขาเดิมในไตรมาส 2 จะติดลบในระดับ high single-digits โดยฝ่ายวิเคราะห์ยังคงให้คำแนะนา “ซื้อ” HMPRO ให้มูลค่าที่เหมาะสม 14.10 บาท และคาดว่ารายได้จะปรับตัวดีขึ้นจากการเปิดดำเนินการของสาขาใหม่อย่างเต็มที่

บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME รายงานยอดขายสาขาเดิม (SSSg) ในไตรมาสนี้ติดลบในระดับ mid-single-digit โดยมีสาเหตุหลักมาจากการลดลงของยอดขายจากผู้รับเหมาก่อสร้าง โดยบริษัทกำลังดำเนินการแก้ไขปัญหานี้ผ่านการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย และมุ่งเน้นการเติบโตของยอดขายให้กับลูกค้าปลายทาง แม้ว่าจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมีสัญญาณฟื้นตัวเล็กน้อย แต่ยังคงรอการฟื้นตัวของยอดขายในวงกว้าง

โดย DOHOME มีแผนเปิดตัวรูปแบบร้านค้าใหม่ L-store ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 และขยายสาขารูปแบบ TOGO เพิ่มเติม ซึ่งบริษัทมองเห็นโอกาสในการขยายอัตรากำไรขั้นต้น และได้เตรียมพร้อมรองรับการฟื้นตัวของกลุ่มการก่อสร้าง ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์คงคำแนะนำ “ถือ” DOHOME ให้มูลค่าเหมาะสม 11.00 บาท ซึ่งมีความเสี่ยงด้านลบจากฤดูฝนที่ยาวนานกว่าปกติ และโอกาสด้านบวกหากกิจกรรมการก่อสร้างฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง

บริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) หรือ AURA ยืนยันเป้าหมายการเติบโตของกำไรสุทธิประจำปีที่ 10% และมีแผนเปิดสาขาใหม่ประมาณ 78 แห่งในปีนี้ และคาดว่าพอร์ตธุรกิจขายฝากทองจะบรรลุเป้าหมายที่ 3.80 พันล้านบาท จากการขยายสาขาอย่างแข็งแกร่ง และข้อได้เปรียบในการแข่งขัน อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารระบุว่ามีกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับความผันผวนของราคาทอง โดยมุ่งเน้นไปที่กำไรจากค่าบริการรับจ้างทำเครื่องประดับ

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้เพื่อระดมทุนสำหรับการขยายธุรกิจ “ทองมาเงินไป” ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มการเติบโตที่น่าพอใจ โดยสาขาที่เปิดใหม่จะสร้างรายได้เฉลี่ยประมาณ 30 ล้านบาทในช่วงเริ่มต้น และยังคงเติบโตต่อเนื่อง ทั้งนี้ สาขาใหม่จะใช้เวลาประมาณ 1 ปีในการคืนทุน ขณะที่รายได้จากช่องทางออนไลน์มีแนวโน้มชะลอตัวลง เนื่องจากพาร์ทเนอร์ลดงบประมาณทางการตลาด โดยฝ่ายวิเคราะห์ยังคงให้คาแนะนำ “ซื้อ” AURA ให้มูลค่าที่เหมาะสม 16.20 บาท โดยมีความเสี่ยงด้านลบจากความผันผวนของราคาทองที่สูง และกระแสเงินสดติดลบ

บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA คาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตของยอดขายจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในช่วง 6-8% ในไตรมาส 2 โดยค่าใช้จ่ายด้านการตลาดลดลงเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ แต่ SABINA ยังคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้ที่ 5-10% สำหรับปี 2567 โดยมุ่งเน้นไปที่ช่องทาง NSR และเป้าหมายอัตรากาไรขั้นต้น 51% ซึ่งทางผู้บริหารมีแผนที่จะแย่งส่วนแบ่งทางการตลาด โดยปัจจุบันอยู่ที่ 13.40% จากคู่แข่งรายเล็ก ซึ่งมีราคาขายตั้งแต่ 100-400 บาทต่อชิ้น และมีสัดส่วน 56.90% ของตลาดมูลค่า 2.8 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ตาม SABINA มีแผนที่จะขยายสาขา MODA เป็น 45 สาขา จากเดิม 30 สาขาในปี 2566 ในปีนี้ โดยมุ่งเน้นไปที่การขายออนไลน์ ยอดขายผ่าน TikTok ซึ่งมีความคืบหน้าที่ดี โดยเติบโตจาก 1 ล้านบาทต่อเดือนในเดือนตุลาคม 2566 มาเป็น 7-8 ล้านบาทต่อเดือน หลังจากการเจรจาค่าธรรมเนียมกับพาร์ทเนอร์ของบริษัทจะคงอยู่ที่ประมาณ 5% จนถึงสิ้นปีนี้ อีกทั้งบริษัทมีแผนในการปรับปรุงคุณภาพของสินค้าที่ผลิตจากผู้รับจ้างผลิตภายนอก ซึ่งมีอยู่ 9 รายในปัจจุบัน เพื่อรักษาคุณภาพของสินค้าและแบรนด์ในระยะยาว

ทั้งนี้ ยังคงให้คำแนะนา “ซื้อ” SABINA ให้มูลค่าเหมาะสม 30.00 บาท ในฐานะหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง 5% โดยการขายผ่านช่องทาง NSR ซึ่งจะช่วยขยายอัตรากำไรสุทธิ และมีโอกาสในการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ

บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC ยอดขายรวมในเดือนเมษายนยังคงทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่เดือนพฤษภาคมเติบโตในระดับ single-digit โดยผู้บริหารมั่นใจว่ารายได้สำหรับปีงบประมาณ 2567 จะเติบโตมากกว่า 4 พันล้านบาท ขณะที่ฝ่ายวิเคราะห์ประมาณการณ์ไว้ที่ 4.16 พันล้านบาท และกำไรสุทธิจะเกิน 700 ล้านบาท โดยฝ่ายวิเคราะห์ประมาณการณ์ไว้ที่ 694 ล้านบาท ด้านอัตรากาไรขั้นต้นใน 2 เดือนแรกของไตรมาส 4/2566 และปี 2567 (เมษายน-พฤษภาคม) ปรับตัวดีขึ้นเป็น 64-65% จาก 62.60% ในไตรมาส 3/66 และปี 2567

โดยบางส่วนเป็นผลมาจากการระบายสินค้าคงคลังเก่า, เป้าหมายการเติบโตสำหรับปีงบประมาณ 2567-2568 รวมถึงการเพิ่มขึ้น 9-10% ของรายได้ ขณะที่การเติบโตของกำไรคาดว่าจะสูงกว่าการเติบโตของรายได้มากกว่า 12% เนื่องจากการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่รีบที่จะขยายไปยังตลาดต่างประเทศ แม้ว่ามาเลเซียจะถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในระยะสั้น ทั้งนี้ ยังคงให้คาแนะนำ “ซื้อ” MC ให้มูลค่าเหมาะสม 14.20 บาท เนื่องจากชื่นชมผลตอบแทนเงินปันผลที่สูง 7-8% และความสำเร็จในการขายออนไลน์ โดยเฉพาะผ่านช่องทางต่างๆ เช่น TikTok

Back to top button