SCB EIC หั่นเป้า GDP ปีนี้เหลือโต 2.5% เซ่นส่งออกหดตัว-การเมืองกดดัน
SCB EIC หั่นคาดการณ์ “จีดีพี” ปี 67 เหลือโต 2.5% จากเดิม 2.7% หลังส่งออกสินค้าไทยอาทิ เหล็ก ผลไม้ และฮาร์ดดิสก์ หดตัวลง พ่วงการเมืองในประเทศกดดันกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน
นายสมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน Economic Intelligence Center ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) เปิดเผยว่า ปรับประมาณการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2567 ขยายตัว 2.50% จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะเติบโต 2.70% โดยเศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวช้าจากความไม่แน่นอนที่มากขึ้น ทั้งภายนอกประเทศที่ยังมีประเด็นการกีดกันการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
รวมทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนภายในประเทศจากปัจจัยการเมืองกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ขณะที่ปี 2568 เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวต่อเนื่องที่ 2.90% ส่วนหนึ่งจากการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนและการเบิกจ่ายภาครัฐที่กลับมาเป็นปกติ
ทั้งนี้ ปัจจัยการเมืองในประเทศอาจกระทบต่อนโยบายทางเศรษฐกิจของพรรคการเมืองที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้น ซึ่งทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นและหันไปลงทุนกับประเทศที่มีนโยบายทางเศรษฐกิจที่มีทิศทางชัดเจน นอกจากนี้ ยังอาจกระทบต่อการพิจารณางบประมาณภาครัฐปี 2568 ซึ่งนอกจากกรณีคดีคุณสมบัตินายกฯแล้ว ความเสี่ยงทางการเมืองของไทยอาจสูงขึ้นอีกในระยะข้างหน้า อาทิ ประเด็นนิรโทษกรรมและการตัดสินยุบพรรคก้าวไกล
“เราประมาณการการเติบโตเศรษฐกิจไทยปี 2567 ครั้งที่แล้ว 3% เมื่อ 3 เดือนที่แล้วเราคิดว่าโตได้ 2.70% รอบนี้เราปรับลงเหลือ 2.50% ความกังวลของเรามีต่อเศรษฐกิจไทยค่อนข้างมาก” นายสมประวิณ กล่าว
อย่างไรก็ตาม SCB EIC มองว่าองค์ประกอบของเศรษฐกิจไทยยังมีแรงกดดันจาก ได้แก่ 1.การส่งออกสินค้าที่จะขยายตัวจำกัดส่วนหนึ่งเพราะการส่งออกไทยเริ่มฟื้นตัวไม่สอดคล้องกับปริมาณการค้าโลกมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มเหล็ก ผลไม้ และฮาร์ดดิสก์ (HDD) ที่จะหดตัวในปีนี้ 2.ภาคการผลิตที่จะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยมีแรงกดดันทั้งปัจจัยภายนอกจากสินค้าจีนที่เข้ามาตีตลาดเนื่องจากจีนมีปัญหา Overcapacity ในประเทศ รวมถึงปัจจัยภายในจากอุปสงค์ในประเทศที่เริ่มมีสัญญาณแผ่วลง และ 3.การลงทุนภาครัฐที่แม้จะกลับมาเร่งตัวจากการเร่งรัดเบิกจ่ายหลัง พ.ร.บ. งบประมาณปี 2567 ล่าช้ากว่าครึ่งปี แต่จะไม่สามารถชดเชยการหดตัวรุนแรงในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ได้
สำหรับโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล SCB EIC คาดการณ์ว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง แต่เป็นการกระตุ้นระยะสั้น สิ่งที่ตามมาคือภาระการคลังหรือหนี้สาธารณะที่สูงขึ้น ซึ่งจะเป็นปัญหาในระยะยาวได้ โดยมีมุมมองว่ารัฐบาลควรจะเยียวยาเฉพาะกลุ่มมากกว่า ขณะเดียวกัน ต้องคู่ขนานไปกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือกระตุ้นให้มีการจ้างงาน
ขณะที่ระยะยาวเศรษฐกิจไทยเผชิญความเปราะบางมากขึ้นทั้ง โดยมีหลายปัจจัย อาทิ 1.ภาคครัวเรือนที่กลุ่มคนรายได้น้อยขาดกันชนทางการเงินที่เพียงพอในระยะข้างหน้า เช่น เงินสำรองฉุกเฉินและประกันความเสี่ยงรูปแบบต่างๆ และ 2.ภาคธุรกิจแม้โดยรวมมีแนวโน้มฟื้นตัว แต่บางกลุ่มยังเปราะบางค่อนข้างมาก โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กที่มีหนี้สูงมากขึ้นท่ามกลางปัญหาโครงสร้างของภาคการผลิตไทย SCB EIC ประเมินว่า ถึงแม้จะมีมาตรการการเงินเน้นช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางภาคครัวเรือนและธุรกิจมากขึ้น แต่ยังต้องใช้เวลากว่ามาตรการจะเห็นผลในวงกว้าง
นอกจากนี้ยังมีมุมมองว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 1 ครั้งปลายปี 67 เหลือ 2.25% และปรับลดอีกครั้งเหลือ 2% ในช่วงต้นปี 2568 จากแรงส่งอุปสงค์ในประเทศในระยะข้างหน้าที่อาจได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากฐานะครัวเรือนที่ยังเปราะบางและปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยังมีอยู่ รวมถึงภาวะการเงินตึงตัวที่จะส่งผลกระทบชัดเจนขึ้น และความเสี่ยงเศรษฐกิจในปีหน้าที่จะปรับเพิ่มขึ้น
ส่วนกรณีค่าเงินบาทผันผวนสูงต่อเนื่องนั้นจากปัจจัยการเมืองในประเทศ และแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ช้าลงแม้ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐจะเริ่มออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ตลาด ทั้งนี้ในระยะสั้นคาดการณ์ว่าเงินบาทจะแข็งค่าในกรอบ 35.80-36.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยจะทยอยแข็งค่าขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ณ สิ้นปี 2567 มองเงินบาทจะแข็งค่าในกรอบ 35-36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้หากพูดถึงด้านปัญหาภูมิรัฐศาสตร์จะสร้างความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นในโลก และยิ่งเร่งโลกแบ่งขั้ว (Decoupling) จะเป็นโอกาสของภาคอุตสาหกรรมไทยได้ ซึ่ง SCB EIC ประเมินว่า รูปแบบการค้าโลกกำลังจะเปลี่ยนไป เนื่องจากกลุ่มประเทศที่มีขั้วเศรษฐกิจต่างกันจะพึ่งพาการค้ากันลดลงและหันมาพึ่งพาประเทศที่มีบทบาทเป็นกลาง (Neutral stance) มากขึ้น โดยประเทศไทยซึ่งรักษาบทบาทเป็นกลางในเกมภูมิรัฐศาสตร์โลกจะได้รับประโยชน์จากการเบี่ยงเบนทางการค้าและการลงทุน (Trade and investment diversion) จากกลุ่มประเทศที่แบ่งขั้วกันมากขึ้น อย่างไรก็ดี ภาคอุตสาหกรรมไทยจะได้รับผลกระทบต่างกันใน 2 กลุ่ม คือ
1.กลุ่มที่มีโอกาสได้รับประโยชน์จากการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจ เช่น คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์และส่วนประกอบ
2.กลุ่มที่มีความเสี่ยงทั้งจากผลกระทบที่สหรัฐหันไปนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่แข่งในภูมิภาคมากขึ้น หรือมีการแข่งขันรุนแรงกับประเทศที่เป็นกลางอื่นๆ ได้แก่ สิ่งทอ และอุปกรณ์ไฟฟ้าไทยจะคว้าโอกาสท่ามกลางโลกแบ่งขั้วรุนแรงขึ้นได้ ต้องมีนโยบายส่งเสริมการส่งออกและการปรับตัวธุรกิจเชิงรุก ซึ่งจะต้องออกแบบให้สอดคล้องกับบริบทเฉพาะของสินค้าแต่ละประเภทที่อาจได้หรือเสียประโยชน์แตกต่างกัน แบ่งได้ 4 กลุ่ม คือ
2.1 กลุ่มสินค้าที่ไทยผลิตเก่ง แต่แข่งขันสูง โดยนโยบายภาครัฐควรเน้นพัฒนาความสามารถในการผลิต สร้างมูลค่าเพิ่ม และความได้เปรียบในการแข่งขัน ขณะที่ภาคธุรกิจต้องปรับตัวชูจุดแข็งของสินค้าและเจาะตลาดเป้าหมาย รวมถึงวางกลยุทธ์เพิ่มส่วนแบ่งตลาด และปรับสินค้าให้ทันเทรนด์โลก
2.2 กลุ่มสินค้าที่ไทยผลิตเก่ง และการแข่งขันไม่สูงนโยบายภาครัฐควรสนับสนุนให้ผู้ส่งออกเปิดตลาดใหม่กระจายความเสี่ยง และยกระดับกระบวนการผลิตตามมาตรฐานความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ขณะที่ภาคธุรกิจต้องปรับตัวลดความเสี่ยงจาก Climate change และลงทุนพลังงานหมุนเวียน
2.3 กลุ่มสินค้าที่ไทยผลิตไม่เก่ง แต่การแข่งขันไม่สูง นโยบายภาครัฐควรให้สิทธิประโยชน์จูงใจให้ดำเนินธุรกิจเดิม แต่ลงทุนเพิ่มศักยภาพการผลิต มุ่งตลาดส่งออกที่มีอยู่ ขณะที่ภาคธุรกิจควรปรับตัวเพิ่มศักยภาพเทคโนโลยีการผลิตและสร้างความเข้าใจในตลาดขั้วสหรัฐฯ และขั้วจีนเพื่อเข้าถึงความต้องการของตลาดได้ดีขึ้น
2.4 กลุ่มสินค้าที่ไทยผลิตไม่เก่ง และแข่งขันสูง นโยบายภาครัฐควรช่วยให้ธุรกิจเปลี่ยนผ่านไปยังภาคการผลิตที่มีศักยภาพในการเติบโตบนห่วงโซ่การผลิตใหม่ได้ ขณะที่ภาคธุรกิจควรเร่งปรับตัวสู่ห่วงโซ่การผลิตใหม่และหาพันธมิตรด้านเทคโนโลยีสนับสนุน