“กิติพงศ์” เล็งผุด “ดัชนีกลุ่มใหม่” ดึงฟันด์โฟลว์สร้างความเชื่อมั่น “ตลาดทุนไทย”
“กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์” เร่งฟื้นความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย เล็งผุดดัชนีกลุ่มใหม่-ดึงฟันด์โฟลว์ไหลกลับ พร้อมลุยนำระบบ AI ตรวจสอบความผิดปกติหลักทรัพย์ หวังสกัดการโกง-ปั่นหุ้นลดลง มั่นใจมาตรการคุมเข้ม “ชอร์ตเซล-หุ้นซิ่ง“ ช่วยลดความเลื่อมล้ำซื้อขาย “โรบอทเทรด” พร้อมชี้หุ้นไทยต่ำสุดแล้ว มองเป็นจังหวะเข้าลงทุนระยะยาว
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า จากประสบการณ์คลุกคลีในแวดวงตลาดหุ้นไทยมากว่า 7 ปี ในแง่ของตลาดทุนถือว่ามีความเข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงในตลาดทุนไทย แต่ละยุคแต่ละสมัย แต่เมื่อเข้ามารับตำแหน่งในช่วงของ “วิกฤติความเชื่อมั่น” ซึ่งเจอทั้งประเด็นหุ้น MORE , STRAK,โรบอทเทรดดิ้ง, Short Selling, และการเมืองไทย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยต่างประเทศทั้งภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครน แต่หากมองถือเป็นเรื่องแปลกว่าปัจจัยดังกล่าวทำไม่กระทบตลาดหุ้นอเมริกาเหมือนไทย นั้นแสดงว่าตลาดหุ้นไทยพื้นฐานมีปัญหา เพราะฉะนั้นคิดว่าตลาดหุ้นไทยจะต้องมีของดี
ถ้าดูพื้นฐานหุ้นที่สะเทือนตลาดทุนไทย ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่ม Old Economy หรือ เศรษฐกิจยุคเก่า อาทิ สัมปทาน โทรศัพท์ ไฟฟ้า พลังงาน ซึ่งไม่มีอะไรใหม่ ซึ่งหากมอง 7 ธุรกิจใหม่ที่มองแล้วให้รายได้มากกว่าประมาณการ อาทิ ท่องเที่ยว โรงพยาบาลมีการเติบโตดี
โดย 7 กลุ่มธุรกิจหลักที่มีอนาคตและมีโอกาสเติบโตได้ดี อาทิ กลุ่มบริษัทด้านการท่องเที่ยวและบริการ, กลุ่มบริษัทที่จะได้อานิสงส์จากมาตรการรัฐ ,กลุ่มบริษัทที่จะได้รับผลดีจากการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติ, กลุ่มบริษัทที่มีรายได้จากต่างประเทศสูง,กลุ่มบริษัทที่เป็นผู้นำในด้านความยั่งยืน,กลุ่มบริษัทที่มีการจ่ายปันผลที่ดี และกลุ่มบริษัทที่อยู่ในธุรกิจเป้าหมาย (New Economy)
ดังนั้นในแง่ของการปรับโครงสร้างตลาดทุนไทยที่ผมคิดไว้คร่าว ๆ เนื่องจากมีคนเคยบอกไว้ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ผ่านมาคิดจากกลุ่ม Old Economy ซึ่งในขณะที่ปัจจุบันต่างประเทศได้มีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ซึ่งในส่วนของไทยจะมีใครคิดเปลี่ยนการวัดดัชนีโดยใช้ธุรกิจที่เป็น New Economy เป็นตัววัด หรืออาจจะต้องมีดัชนีใหม่แยกออกไปอีกกระดาน เพื่อให้มีสินค้าใหม่ ๆ และดึงของดีออกมาจาก 7 กลุ่มธุรกิจที่มีอนาคตเติบโตดี
หากถามหน้าที่ตลาดหลักทรัพย์คืออะไรก็ต้องเอาข้อมูลจากกลุ่มดังกล่าว ทั้งงบการเงิน มาเปิดเผยให้นักลงทุน แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ “เดย์เทรดคือซื้อมาขายไป” ทำอย่างไรให้นักลงทุนไทยเป็นนักลงทุนระยะยาว ไม่ใช่ลงทุน 3 เดือนแต่ต้องเป็นปี และหากถามระบบการซื้อขายของไทยมองไม่แฟร์ เนื่องจาก “โรบอทเทรด” ทำให้เกิดการเลื่อมล้ำในการทำคำสั่งซื้อขาย จึงทำให้ตลาดต้องมีมาตรการออกมาในช่วงนี้ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน และการที่ผมเข้ามาสิ่งหนึ่งที่ผมทำคือมาตรการต่างๆทำโดยไม่ต้องรอเวลา 4-6 เดือน หากมีอะไรที่ทำได้ต้องทำเลย โดยเฉพาะถ้าคุยกับ ก.ล.ต.แล้วไม่ขัดข้อง อาทิ Uptick ก็เลยต้อง
ย้อนไปที่ปัญหาที่สะสมจากที่เคยนั่งในกรรมการตลาดฯและมีความรู้ด้านกฎหมาย คือเวลาพบธุรกรรมซื้อขายหุ้นผิดปกติจะต้องส่งมาที่คณะอนุกฎหมายถ้าเห็นด้วยก็จะส่งเรื่องไปเพื่อตรวจสอบในกรณีปั่นหุ้น และบางเรื่องส่งไปตรวจสอบกว่าจบคดีเฉลี่ยเกือบ 10 ปีตามกระบวนการศาล ในกรณีปั่นหุ้น
ส่วนกรณีการโกงหรือปล้นกลางแดดพอเห็นกระบวนการกฎหมายล่าช้า ก็เลยไปคุยกับก.ล.ต.จะทำอย่างไรให้เร็วขึ้นในยุคนี้ งั้นเอาแบบนี้ให้ป.ป.ง.มายึดเงินก่อนมาพิสูจน์กันทีหลัง เพราะเห็นเส้นทางการเงิน และสามารถส่งเรื่องไป DSI ได้ เพื่อเป็นกลไกช่วยเราให้ตรวจสอบได้เร็วขึ้น ซึ่งกลไกดังกล่าวเพิ่งทำได้สำเร็จกรณี MORE,STRAK ดังนั้นทางตลาดฯ,ปปง.,ตำรวจเศรษฐกิจ,DSI จึงได้คุยกันว่าหากมีเรื่องไหนสำคัญขอให้ทำเฉพาะกิจก่อน ซึ่งตลาดเองจะเริ่มมีการกระบวนการและจับตาบริษัทผิดปกติเฉพาะกิจ โดยใช้ AI เฝ้าดูจากนั่นก็จะส่งเรื่องให้ก.ล.ต.ตรวจสอบ
“เพราะฉะนั้นการเข้ามานั่งเป็นประธานตลาดฯผมเชื่อว่า การโกงลดลง การปั่นหุ้นลดลง บจ.ดีขึ้น การโกงผมเชื่อว่าจะไม่ปล่อยให้มีการปล้นกลางแดดแน่นอน ผมทำอะไรไม่ได้หรอก เพราะทำแบบนี้เพื่อป้องกันโจรในตลาดทุน โดยเฉพาะกรณี STRAK ผมมองเป็นกรณีที่น่าสงสารนักลงทุนอย่างมาก เพราะเอาเงินทั้งชีวิตมาลงทุน ส่วนการใช้ AI เพื่อมากป้องกันเบื้องต้นต้องตั้งข้อสังเกตบริษัท A กำไร 5% แต่บริษัทกำไรนี้ 30-40% มีอะไรที่ผิดปกติไหม ดังนั้นการใช้ข้อมูลงบการเงินจะช่วยดูและช่วยเตือนและเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนได้ และยืนยันไม่มีการละเว้นการตรวจสอบบริษัทที่รู้จักหากพบความผิดปกติ” ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ กล่าวเพิ่มเติม
นอกจากนี้สิ่งที่ตลาดฯมองและคิดจะทำและถือเป็นไอเดียของว่าที่ผู้จัดการตลาดคนใหม่ “นายอัสสเดช คงสิริ” ซึ่งได้นำเสนอไอเดียในช่วงที่เข้ามาสมัครชิงตำแหน่งว่า สิ่งหนึ่งที่จะทำให้ตลาดฯดีขึ้นและควรจะทำเหมือนประเทศเกาหลีและญี่ปุ่นนั้นคือการให้บริษัทจดเบียนทำแผน 3 ปี ว่าจะมีแผนลงทุน ขยายกิจการ เพื่อสร้างรายได้เพิ่มอย่างไรใน 3 ปีข้างหน้า หรือไปดูงบการเงินผลประกอบการบริษัทไทยที่เป็น “ยักษ์หลับ” ให้เขาตื่นขึ้นมา โดยใช้ระบบ AI ช่วยดู ซึ่งปัจจุบันตลาดเริ่มมีการใช้งานบ้างแล้ว เพื่อนำข้อมูลมาตรวจสอบ เพียงต้องใช้เวลาเนื่องจากข้อมูลภาษาไทยค่อนข้างเยอะ
ดังนั้นการเข้ามารับตำแหน่งในยุคบริบทตลาดทุนเปลี่ยน สำหรับตลาดก็ต้องปรับวิธีคิดและทำแบบเดิมไม่ได้ ต้องทันเหตุการณ์ ทันเทคโนโลยี อะไรที่เป็นของใหม่ต้องลองทำ เพราะสมัยนี้ข้อมูลมีเยอะมาก
ส่วนแนวคิดที่จะเปิดดัชนีกลุ่มใหม่มองว่าหากเป็นไปได้ เชื่อว่าจะช่วยดึงของดีออกมามากขึ้น และถือเป็นโจทย์ที่ผู้จัดการตลาดคนใหม่จะนำไปศึกษา เพราะฉะนั้นสิ่งที่ขาดคือการเมืองภายใน พื้นฐานบริษัทจดทะเบียนที่ไม่มีของใหม่ ซึ่งตรงนี้มองว่าเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ต่างชาติเทขายหุ้นไทยต่อเนื่อง
ด้านแผนดึงบริษัทที่กำไรดีเข้าตลาดฯที่ผ่านมาได้ให้ความรู้และคำแนะนำบริษัทหลายแห่งต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจครอบครัว เพื่อช่วยจัดโครงสร้างการดำเนินธุรกิจ การจัดสรรผลประโยชน์สมาชิกครอบครัว และการบริหารความมั่งคั่งของธุรกิจและครอบครัวสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
ล่าสุดเตรียมจัดงานสัมมนาธุรกิจครอบครัวใหญ่แห่งปี “The 2nd SET Annual Conference on Family Business” ในวันที่ 1-2 ส.ค.67 โดยเชิญชวนเจ้าของธุรกิจ ทายาท ผู้บริหาร และที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัว ร่วมแลกเปลี่ยน เรียนรู้ พร้อมถอดบทเรียนการบริหารครอบครัวและธุรกิจของเอเชียและไทยที่สามารถนำพากิจการให้เติบโตไกลในระดับโลก
ส่วนมุมมองที่อยากจะเห็นในการขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทยจากผู้จัดการตลาดคนใหม่ “นายอัสสเดช คงสิริ” ซึ่งจะเริ่มงานในวันที่ 1 สิงหาคม 2567 ผมมองว่าจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีเรื่องใหม่ๆ อาทิ เรื่องแผน 3 ปี เขาต้องการที่จะให้กรรมการ ฝ่ายจัดการช่วยอะไรต้องเขียนแผนให้ดูด้วยจะทำได้หรือไม่
ด้านมาตรการยกระดับความเชื่อมั่นนักลงทุนที่ทยอยออกมามั่นใจช่วยลดความเลื่อมล้ำ โดยเฉพาะสำหรับคนที่ใช้โรบอทเทรด นอกจากนี้การมีสินค้าใหม่ บริษัทใหม่ และใช้ AI ขับเคลื่อนได้ และหากประเทศอื่นเขาทำอะไรเราก็ต้องทำแข่ง อาทิ คาร์บอนเครดิต ตรงนี้เป็นขั้นตอนที่กำลังทำและหาคนระดับโลกมารับรองเพื่อให้ตลาดเป็นองค์ที่สามารถเอามาเทรดได้
ส่วนภาวะตลาดหุ้นไทยหากไม่มีปัจจัยนอกไม่ยากมองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยขณะนี้ต่ำสุดแล้ว และหุ้นพื้นฐานหลายตัวจะต้องไม่ต่ำไปมากกว่านี้ โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มพื้นฐานจาก 7 กลุ่มธุรกิจดังกล่าว มองเป็นจังหวะเข้าลงทุนระยะยาว