โบรกเชียร์ “ซื้อ” SAPPE-ICHI ลุ้นกำไร Q2 นิวไฮ รับยอดขาย-ส่งออกพุ่ง!

CGSI ยังแนะนำ “ซื้อ” หุ้นเครื่องดื่ม “SAPPE-ICHI” ลุ้นกำไรไตรมาส 2/67 ทำสถิติสูงสุดใหม่ รับยอดขายในประเทศ และยอดส่งออกต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น


บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE คาดการณ์กำไรจากการดำเนินงานปกติในไตรมาส 2/2567 ทำสถิติสูงสุดใหม่อยู่ที่ 371 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากยอดส่งออกและยอดขายในประเทศที่แข็งแกร่ง

ขณะที่คาดการณ์รายได้จากการขายอยู่ที่ 2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาส่ก่อนหน้า เป็นผลมาจากยอดส่งออกที่คาดเพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และยอดขายในประเทศเพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ตลาดส่งออกอย่างสหรัฐฯและ EU จะเป็นตลาดหลักที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของยอดส่งออก หลังบริษัทขยายช่องทางการจำหน่ายผ่านร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern trade)

โดยเชื่อว่ายอดขายในประเทศไตรมาส 2/2567 จะเติบโตจากผลิตภัณฑ์ทุกกลุ่ม ขณะเดียวกันอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) จะเพิ่มขึ้นเป็น 46% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนเทียบจาก 44.5% จากไตรมาส 2/66 และ 46% จากไตรมาส 1/67 เป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายและต้นทุนบรรจุภัณฑ์ที่ลดลง

ในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา SAPPE เปิดสายการผลิตใหม่ที่มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 25% เชื่อว่ากำลังการผลิตใหม่จะช่วยรองรับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นช่วงฤดูร้อนของตลาดส่งออกที่สำคัญอย่างสหรัฐฯ,  EU และเกาหลีใต้

สำหรับ SAPPE ประกาศให้ SEVENTEEN วงบอยแบนด์สัญชาติเกาหลีใต้ เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับโลกครั้งแรกของเครื่องดื่ม “Mogu Mogu” เราไม่กังวลค่าใช้จ่ายส่วนนี้ โดย SAPPE ระบุว่างบประมาณที่ตั้งไว้สำหรับค่าใช้จ่ายการขายทั้งปียังคงอยู่ที่ 13% ของยอดขาย ซึ่งสะท้อนในประมาณการของเราแล้ว เชื่อว่าการมีแบรนด์แอมบาสเดอร์จะทำให้แบรนด์ของ SAPPE เป็นที่รู้จักมากขึ้นในระดับโลก

ทั้งนี้ปรับประมาณการกำไรปกติต่อหุ้นปี 67 ของ SAPPE ลง 7% สะท้อนค่าใช้จ่ายการขายที่สูงขึ้น แต่ยังแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายเดิม 116.3 บาท เพราะกำไรมีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งไตรมาส 2/2567 และ 3/2567 และปัจจุบัน SAPPE ซื้อขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ยห้าปีของกลุ่ม F&B ไทยที่ 24 เท่า ซึ่งมองว่ายังน่าสนใจ

ส่วน บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI คาดการณ์ไตรมาส 2/2567 จะทำกำไรสุทธิสูงสุดในรอบ 9 ปีอยู่ที่ 395 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 8.5% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่หากไม่รวมกำไรที่รับรู้ครั้งเดียว 32 ล้านบาทจากการขายเครื่องจักรและอุปกรณ์ ICHI จะมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ 369 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อนหน้า จากยอดขายในประเทศและ GPM ที่สูงขึ้น

ขณะที่คาดการณ์ ICHI จะมีรายได้จากการขายเติบโต 8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และ 3% จากไตรมาสก่อนหน้า เพราะยอดขายในประเทศที่เพิ่มขึ้นจะชดเชยยอดส่งออกที่ชะลอตัว และคาดการณ์อัตรากำไรขั้นต้น (GPM จะเพิ่มขึ้นเป็น 26.4% จาก 23% และ 26% ในไตรมาส 2/66 และไตรมาส 1/67 ตามลำดับ

นอกจากนี้จะมีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุน (JV) ในอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนเป็น 7 ล้านบาท หลังปรับลดราคาขายสินค้า แต่ส่วนแบ่งกำไรยังคงลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าจาก 12 ล้านบาทในไตรมาส 1/67 เพราะบริษัทยังอยู่ระหว่างการรีแบรนด์และเปลี่ยนแพ็คเกจของผลิตภัณฑ์

รวมถึงมีแผนใช้เงินลงทุน 460 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตอีก 200 ล้านขวดต่อปี หรือคิดเป็น 13% ของกำลังการผลิตปัจจุบันที่ 1,500 ล้านขวดต่อปี โดยเชื่อว่าการขยายกำลังการผลิตจะช่วยให้บริษัทได้ประโยชน์จากความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทมีอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ 77% ในไตรมาส 1/67

อย่างไรก็ตามคาดการณ์ว่า ICHI มีกำไรปกติต่อหุ้นเติบโต 23% ในปีนี้ แต่การประเมินมูลค่าในปัจจุบันอยู่ที่ P/E เพียง 15.6 เท่า หรือ -1.25SD ของค่าเฉลี่ยห้าปีของกลุ่ม F&B ซึ่งต่ำที่สุดในกลุ่ม นอกจากนี้ยังมองอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 7-8% ในปี 67-69 จึงยังแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายเดิม 21.90 บาท

Back to top button