คัด 8 หุ้นรับประโยชน์ TESG ใหม่ ชู GULF-ADVANC รับเม็ดเงินไหลเข้า

โบรกมองบวก TESG ใหม่ เพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 3 แสนบาทต่อปี และลดเวลาถือครองเหลือไม่ต่ำกว่า 5 ปี เพื่อจูงใจนักลงทุน มองกระตุ้น SET ได้ราว 8% พร้อมคัด 8 หุ้นเด่นรับอานิสงค์เม็ดเงินไหลเข้า


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีการปรับเงื่อนไขกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG : Thailand ESG Fund) ใหม่ โดยเพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีเพิ่มขึ้นอีก 200,000 บาท จากเดิมให้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ แต่สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท เป็นสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาทต่อปี พร้อมปรับลดระยะเวลาถือหน่วยลงทุนจากเดิมกำหนดต้องถือครองไม่ต่ำกว่า 8 ปี เหลือไม่ต่ำกว่า 5 ปี ซึ่งเดิมทางกรมสรรพากรพิจารณาลดเวลาถือครองลงให้ 1 ปี เหลือ 7 ปี แต่ทางกระทรวงการคลังพิจารณาแล้วให้ลดเหลือ 5 ปี เพื่อจูงใจนักลงทุนมากขึ้น

โดยจะบังคับใช้ในช่วง 3 ปี ตั้งแต่ปี 67-69 เพื่อให้มีผลฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุน กระตุ้นตลาดหุ้นตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ทั้งนี้ จะมีการเพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีและลดเวลาการถือครองกองทุน TESG เพื่อให้จูงใจนักลงทุนมากขึ้น

ส่วนแนวทางการนำเงินไปลงทุนนั้น บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่มีกองทุน TESG สามารถนำเงอนที่ขายหน่วยลงทุนได้ 80% ไปลงทุนหุ้นใน SET และ MAI ที่โดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม  หรือมีการเปิดเผยข้อมูลก๊าซเรือนกระจก หรือมีระดับการประเมิน cg rating ของ IOD และมีการเปิดเผยข้อมูลด้านบรรษัทภิบาลในระดับ และรูปแบบที่ ก.ล.ต.กำหนด

นอกจากนี้ยังสามารถนำเงินไปลงทุนใน ESG Bond และ Green Token รวมถึงหุ้นไทยที่อยู่ในดัชนี ESG ที่ได้รับความเชื่อถือระดับสากล ซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 128 ตัว หลังจากนี้จะมีหุ้นที่เข้าหลักเกณฑ์เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 200 ตัว ส่วนการปรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน(TESG)ใหม่ คาดว่าจะนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)เพื่ออนุมัติในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า แต่ทั้งนี้หลักเกณฑ์ดังกล่าวจะมีผลย้อนหลังเริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค.67 โดยประเมินว่าจะมีเงินสะพัดประมาณ 3 หมื่นล้านบาทจนถึงสิ้นปีนี้

ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า มีมุมมองเป็นบวกต่อมาตรการ TESG ใหม่นี้ โดยเฉพาะประเด็นการลดระยะเวลาการถือครองที่สั้นลง คาดการณ์เม็ดเงินเข้ากอง TESG ใหม่อยู่ในช่วง 3-4 หมื่นล้านบาท เทียบกับ LTF ที่ซื้อในช่วง 4.5-7.70 หมื่นล้านบาท เนื่องจากการซื้อสุทธิสูงสุดของ TESG ใหม่ที่ 3 แสนบาท ต่ำกว่า LTF ที่ 5 แสนบาท

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลการซื้อ LTF ในอดีตพบว่าผู้มีรายได้มากกว่า 1 ล้านบาทต่อปี มีการซื้อ LTF เฉลี่ย 1.50 แสนบาทต่อราย วงเงินดังกล่าวจึงถือเป็นการประเมินแบบ Conservative

พร้อมกันนี้ คาดการณ์ผลของเม็ดเงิน TESG ใหม่ 3-4 หมื่นล้านบาทและเข้าตลาดหุ้นในช่วง 2.50-4 หมื่นล้านบาทช่วยหนุน SET Index ได้ระดับ 5-8% โดยหุ้นที่เราคาดว่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการ TESG ใหม่ ประเมินใน 2 แง่มุม 1) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากเม็ดเงิน TESG ไหลเข้าในระดับสูงชอบ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF, บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN และ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT 2) หุ้นที่คาดเม็ดเงินไหลเข้าเทียบกับมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสูงชอบ บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA, บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK และบริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW

Back to top button