“พูลพัฒน์”เลขาฯ กกพ. ป้ายแดง! แย้มค่าไฟงวดใหม่ ก.ย.-ต.ค.67 มีลุ้นปรับลง คาดสรุปผล ก.ค.นี้

“พูลพัฒน์” เลขาฯ กกพ. แย้มค่าไฟงวดใหม่เดือน ก.ย.-ต.ค.67 มีลุ้นปรับลง! คาดสรุปผลก.ค.นี้ หลังราคา LNG ตลาดโลกปรับตัวดีขึ้น-ปริมาณการผลิต และแหล่งเอราวัณเป็นไปตามแผน พร้อมชูวิสัยทัศน์นำองค์กรมุ่งสู่หน่วยงานแห่งความเชื่อมั่น และไว้วางใจของสังคม ภายใต้ยุทธศาสตร์ Trusted OERC 4 ด้าน เนื่องในโอกาสรับตำแหน่งใหม่


ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) เปิดเผยว่า กกพ.อยู่ระหว่างติดตามรวบรวมข้อมูลตัวแปรต่าง ๆ นำมาพิจารณาค่าไฟงวดงวด 3 (เดือนกันยายน-ตุลาคม) 2567 คาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนต้นเดือนกรกฎาคม 2567

ทั้งนี้ หากพิจารณาปัจจัยที่เกี่ยวข้องในเบื้องต้น พบว่าดีขึ้น อาทิ ปริมาณก๊าซธรรมชาติทีผลิตได้ในอ่าวไทย โดยเฉพาะในแหล่งเอราวัณสามารถกลับมาผลิตได้ 800 ล้าน ลบ.ฟ./วัน แหล่งนำเข้าจากเมียนมา สามารถนำเข้าได้ปกติ และสถานการณ์ราคา LNG นำเข้าจากตลาดโลกปรับตัวดีขึ้น โดยปัจจุบันราคาอยู่ที่ 12 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียู อัตราแลกเปลี่ยน ที่เกี่ยวข้องนำมาใช้คำนวณค่าเอฟที

“ทิศทางค่าไฟฟ้างวด 3 (เดือนกันยายน-ตุลาคม) 2567 มีโอกาสจะซอฟต์ลง เพราะปัจจัยที่เกี่ยวข้องไม่ได้ส่งผลมากขึ้น จากงวดก่อนหน้าเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2567 ที่มีอัตรา 4.18 บาท ซึ่งหน้าที่หลักของ กกพ. ก็มีหน้าที่พิจารณาตามหลักวิชาการว่าต้นทุนที่แท้จริงควรเป็นอย่างไร”

ดร.พูลพัฒน์กล่าวว่า ในโอกาสที่เข้ารับตำแหน่งได้วางเป้าหมายที่จะกำกับดูแลค่าไฟฟ้าของประเทศให้มีความเหมาะสม เป็นธรรม และดูแลราคาพลังงานให้กระทบต่อค่าครองชีพของพี่น้องประชาชนคนไทยให้น้อยที่สุด เนื่องจากมองว่าปัจจุบันไฟฟ้าเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชน

ในขณะที่ในยุคการเปลี่ยนผ่านทางด้านพลังงาน (Energy Transition) เป็นผลมาจากความต้องการการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีทางด้านพลังงาน เพื่อรองรับความต้องการพลังงานสะอาดรับมือกับภาวะโลกร้อน

ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงรวดเร็ว สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ทำให้ภาคเศรษฐกิจและภาคพลังงานของไทยต้องการการปรับตัวขนานใหญ่ สำนักงาน กกพ.จึงมีบทบาทหน้าที่สำคัญในการดูแลการเปลี่ยนผ่านให้มีความราบรื่น สมดุล เป็นธรรมให้มากที่สุด

“วันนี้ ในโลกกำลังคุยกันอยู่สองเรื่องหลักคือ Go Green และ Go Digital ภาคธุรกิจกำลังเปลี่ยนแปลงปฏิรูปแบบถอนรากถอนโคน เราต้องเตรียมความพร้อมในโอกาสสำคัญของจุดเปลี่ยนให้กับประเทศ ไม่ปล่อยผ่านโอกาสของภาคอุตสาหกรรมการลงทุนมีพลังงานสีเขียวรองรับความต้องการซึ่งพลังงานสีเขียวมีข้อดี แต่ก็มีบางส่วนที่สวนทางเป้าหมายของการบริหารจัดการภาคพลังงานที่ต้องการความมีเสถียรภาพ มีความมั่นคง ที่สำคัญคือ ต้องมีระดับราคาที่รับได้ด้วย สำนักงาน กกพ.ต้องเข้ามาดูแลให้เกิดความราบรื่นในการเปลี่ยนผ่าน”

ดร.พูลพัฒน์กล่าวในเวทีแถลงข่าวและพบปะสื่อมวลชนเป็นครั้งแรก เพื่อชี้แจงวิสัยทัศน์ ทิศทาง และนโยบายการบริหารงานของสำนักงาน กกพ. เนื่องในโอกาสรับตำแหน่งใหม่  โดยได้กำหนดวิสัยทัศน์ในการนำพาสำนักงาน กกพ. เพื่อเป็นหน่วยงานแห่งความเชื่อมั่น และไว้วางใจของสังคมในการกำกับกิจการพลังงานภายใต้ยุทธศาสตร์ Trusted OERC 4 ด้าน ได้แก่

1.Trusted Regulation สร้างความเชื่อมั่นในการกำกับดูแลกิจการพลังงานด้วยการประสานความร่วมมือกับภาคนโยบาย ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายด้วยการวางบทบาทสำนักงาน กกพ. เป็นองค์กำกับดูแลกิจการพลังงานภายใต้นโยบาย พร้อมกับจะมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้และยกระดับการกำกับดูแลตามภารกิจให้ครบถ้วนและเกิดความยั่งยืน

2.Trusted Research & Innovation ทบทวนกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องให้มีความทันสมัยอยู่เสมอ ขยายเครือข่ายและแลกเปลี่ยนวิธีการและแนวทางการกำกับกิจการพลังงานกับองค์กรกำกับดูแลด้านพลังงานในต่างประเทศ รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดการทำวิจัยร่วมกันกับกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อหล่อหลอมเป็นองค์ความรู้และภูมิปัญญาที่เหมาะสมต่อการกำกับกิจการพลังงานของไทย

3.Trusted Management มุ่งพัฒนาการบริหารองค์กรให้สามารถกำกับดูแลกิจการพลังงาน ด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ควบคู่กับการยกระดับพัฒนาขีดความสามารถบุคลากรให้ตอบสนองต่อการรองรับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยและสร้างองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งอนาคตที่มีการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลตอบโจทย์ในทุกภารกิจของสังคมทั้งในวันนี้และวันหน้า

4.Trusted Engagement สร้างการมีส่วนในการคุ้มครองผู้ใช้พลังงานและพัฒนาเครือข่ายพันธมิตรการคุ้มครองผู้ใช้พลังงาน ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานกองทุนพัฒนาไฟฟ้า และสร้างองค์ความรู้ความเข้าใจต่อพื้นที่ชุมชนอย่างยั่งยืน สื่อสารประชาสัมพันธ์การกำกับกิจการพลังงานอย่างต่อเนื่องผ่านสื่อมวลชนครอบคลุมทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค

ในส่วนของความท้าทายภาคพลังงานไทยในระยะต่อไปคือ การสร้างความสมดุล ความเป็นธรรม และความเท่าเทียมในการแข่งขัน ทั้งในภาคพลังงาน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันโดยรวมให้ประเทศ และผู้ประกอบการภาคธุรกิจ อุตสาหกรรมภาคเอกชน ให้สามารถดำเนินการเปลี่ยนผ่านไปสู่ทิศทางพลังงานสะอาดอย่างมีผลกระทบน้อยที่สุด ซึ่งยังมีหลายปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อความมีเสถียรภาพและความมั่นคงทางด้านพลังงาน อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อต้นทุน ระดับราคาพลังงานของประเทศ

นอกจากนี้ยังมองว่า กลไกและการแข่งขันในภาคพลังงานเป็นสิ่งที่สำคัญ และจะนำมาซึ่งการกระจายผลประโยชน์จากการแข่งขันไปสู่ประชาชนผู้ใช้พลังงานส่วนใหญ่ของประเทศอย่างเป็นธรรม สำนักงาน กกพ.จึงต้องดูแลความเหมาะสมในการบริหารจัดการสัดส่วนของการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานทดแทนให้สอดคล้องตามนโยบาย รวมทั้งการเพิ่มการแข่งขันในภาคพลังงานตามช่วงเวลาที่เหมาะสมควบคู่กันไปด้วย

ดร.พูลพัฒน์กล่าวว่า การผลิตไฟฟ้าด้วยเชื้อเพลิงฟอสซิลในระบบยังคงมีความสำคัญอยู่ โดยเฉพาะเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติยังเป็นเชื้อเพลิงหลักที่มีความจำเป็นในการผลิตไฟฟ้าของประเทศ อีกทั้งยังทำหน้าที่ในการรักษาความมีเสถียรภาพและความมั่นคงในระบบไฟฟ้า แต่การบริหารจัดการได้ยากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากสัดส่วนปริมาณของพลังงานหมุนเวียนที่จะเพิ่มมากขึ้น

สำนักงาน กกพ.จึงวางแนวทางในการกำกับดูแลภาคพลังงาน โดยคำนึงถึงทั้งคุณภาพไฟฟ้าที่ดีในระดับราคาที่ยอมรับได้ ควบคู่กับการสร้างการยอมรับในการกำกับกิจการพลังงานและทำให้ทุกภาคส่วนเดินหน้าไปด้วยกันได้อย่างยั่งยืน ทั้งภาคเศรษฐกิจ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และที่สำคัญสุดคือประชาชนผู้ใช้พลังงานส่วนใหญ่ของประเทศ เพื่อให้สำนักงาน กกพ. เป็นที่พึ่งให้กับประชาชนอย่างแท้จริง

Back to top button