SAMART แจงแพ้คดี BAGOC จ่ายหนี้ก้อนโต 718 ล้าน หวั่นงบ Q2 ตั้งสำรองฯหนัก!

SAMART แจงแพ้คดี BAGOC จ่ายหนี้ก้อนโต 718 ล้าน หวั่นงบไตรมาส 2/67 ตั้งสำรองฯอีก 280.22 ล้านบาท แม้ว่ามีการตั้งสำรองไปแล้วเมื่อไตรมาสแรกจำนวน 438.47 ล้านบาท


นายเจริญรัฐ วิไลลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAMART เปิดเผยผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ตามที่บริษัทฯ ถูกฟ้องโดยคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 (BAGOC) และการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เนื่องจากบริษัทฯ ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการให้การสนับสนุนด้านการเงินและการติดตั้งระบบเครือข่ายโทรคมนาคม ให้กับคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเซียนเกมส์ครั้งที่ 13 เมื่อปี 2540

โดยได้ให้การสนับสนุนในการออกแบบและติดตั้งระบบเครือข่ายโทรคมนาคมพร้อมอุปกรณ์ และให้การสนับสนุนด้านการเงิน  ซึ่งยังมีส่วนค้างชำระอยู่เป็นเงินจำนวน 190,000,000 บาท แต่บริษัทฯ ประสบปัญหาทางการเงินจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ของประเทศในปี 2540 ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนานกับเศรษฐกิจของประเทศไทยในวงกว้าง บริษัทฯ จึงได้เจรจาขอยกเลิกข้อตกลงการให้การสนับสนุนด้านการเงิน แต่ก็ไม่ได้รับการยินยอมจาก BAGOC และได้มีการทำสัญญาเรื่องการชำระเงินและเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติมเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2541 หลังจากนั้นก็ไม่มีการติดตามทวงถามให้ชำระหนี้แต่อย่างใด

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2553 BAGOC และการกีฬาแห่งประเทศไทยจึงได้เสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ เป็นข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 90/2553 ซึ่งคณะอนุญาโตตุลาการได้ชี้ขาดเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2556 ว่าคดีขาดอายุความ แต่ต่อมา BAGOC และการกีฬาแห่งประเทศไทยก็ได้ไปยื่นเรื่องทั้งต่อศาลและต่อคณะอนุญาโตตุลาการ เพื่อขอต่อสู้คดีกับบริษัทฯ เป็นระยะเวลาต่อเนื่องยาวนานจนมาสิ้นสุดตามคำพิพากษาของศาลฎีกา ในคดีของศาลแพ่ง หมายเลขแดงที่ พ. 5279/2565

ส่งผลให้บริษัทฯ ในฐานะคู่สัญญาผู้ให้การสนับสนุนการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่ 13 กับ BAGOC มีหน้าที่ต้องชำระเงินให้แก่ BAGOC และการกีฬาแห่งประเทศไทย ในฐานะบุคคลภายนอกผู้รับผลประโยชน์ ตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 67/2556 เป็นเงินจำนวน 331,797,360.27 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 190,000,000 บาท ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันเสนอข้อพิพาท (ถัดจากวันที่ 21 ตุลาคม 2553) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คำนวณภาระหนี้ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 ซึ่งเป็นวันอ่านคำพิพากษา บริษัทฯ จะต้องชำระเงินต้นและดอกเบี้ย รวมเป็นเงิน 718,694,520.55 บาท

ทั้งนี้ บริษัทฯ น้อมรับคำตัดสินของศาลฎีกาและคณะอนุญาโตตุลาการ และพร้อมจะชำระคืนหนี้เงินต้นทั้งจำนวน 190,000,000 บาทให้แก่ BAGOC และการกีฬาแห่งประเทศไทยในทันที และในส่วนของดอกเบี้ยจำนวนเงิน 528,694,520.55 บาทนั้น บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจาขอผ่อนผัน โดยบริษัทฯ เสนอผ่อนชำระเป็นงวดรายปีให้ครบถ้วนแล้วเสร็จภายในเวลา 7 ปี ทั้งนี้ เพื่อยืนยันเจตนารมณ์และความประสงค์ที่จะชำระหนี้ให้แก่ BAGOC และการกีฬาแห่งประเทศไทยอย่างจริงใจ

โดยบริษัทฯ ได้นำเงินไปวางทรัพย์ไว้ ณ สำนักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 1 เพื่อชำระหนี้เงินต้นทั้งจำนวน 190,000,000 บาท และชำระดอกเบี้ยบางส่วนจำนวน 40,000,000 บาท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2567 อีกทั้งที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการตั้งสำรองไปแล้วส่วนใหญ่ โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 ได้มีการบันทึกประมาณการหนี้สินระยะยาวสำหรับข้อพิพาททางกฎหมายนี้ไปแล้วรวมเป็นจำนวน 438,470,548 บาท โดยบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าเหตุการณ์นี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินและการดำเนินงานของบริษัทฯ

Back to top button