SINGER-SGC ย้ำแผนเพิ่มทุน! รองรับสินเชื่อ SG Finance-คืนหนี้ “ซิงเกอร์” 4 พันล้าน

SINGER-SGC ย้ำแผนเพิ่มทุนขาย RO พ่วงแจกวอแรนต์ เสริมแกร่งธุรกิจ และรองรับสินเชื่อ SG Finance ภายใต้แคมเปญล็อกโฟน พร้อมเร่งคืนหนี้ “ซิงเกอร์ฯ” 4 พันล้านบาท มองครึ่งปีหลังไฮซีซั่นธุรกิจมือถือ-ฟีเจอร์ AI หนุนความต้องการ มั่นใจผลงานปีนี้ “เทิร์นอะราวด์


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(4 ก.ค.67) บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) SINGER และ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC ได้จัดงานแถลงทิศทางธุรกิจและการเพิ่มทุน เพื่อรองรับโอกาสของสินเชื่อ SG Finance ภายใต้แคมเปญล็อกโฟน เรือธงสำคัญในการเติบโตในงาน SINGER-SGC Analyst & Investor Meeting

โดยนายอโณทัย ศรีเตียเพ็ชร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC เปิดเผยว่า “ภายหลังจากที่ประกาศแผนเพิ่มทุนไปแล้วนั้น นักลงทุน และผู้ถือหุ้น ได้สอบถามเข้ามาเป็นจำนวนมากจึงได้จัดแถลงแผนเพิ่มทุนเพื่อให้ทุกท่านเข้าใจได้เท่าเทียมกัน โดยมองโอกาสของสินเชื่อ “เอสจี ไฟแนนซ์พลัส (SG Finance+)” ภายใต้แคมเปญ Locked Phone จะเป็น Turning Point ของ SGC เนื่องจากแผนการปล่อยสินเชื่อเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยตั้งแต่เริ่มเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบผ่านร้านมือถือชั้นนำทั่วประเทศ (Nationwide) ไปเมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี

ทั้งนี้ปัจจุบันมียอดปล่อยสินชื่อ ณ ปล่อยสินเชื่อได้กว่า 18,000 สัญญา รวมมูลค่าสินเชื่อ 168 ล้านบาท ผ่านร้านค้าพันธมิตรครอบคลุมทั่วประเทศกว่า 2,900 แห่ง โดยมั่นใจว่าภายในเดือนก.ค.จะปล่อยสินเชื่อแตะระดับ 30,000 สัญญา และวางเป้าปีนี้แตะระดับ 100,000 สัญญา โดยผ่านร้านค้าพันธมิตรครอบคลุมทั่วประเทศ 5,000 แห่ง

อีกทั้งมองว่าสินเชื่อ “เอสจี ไฟแนนซ์พลัส (SG Finance+)” ภายใต้แคมเปญ Locked Phone จะให้ผลตอบแทน EIR มากกว่า 28% อีกทั้งระยะเวลาการให้สินเชื่อเพียง 12-24 เดือน และไม่มีค่าคอมมิชชั่นการขายผ่าน Key Account มากกว่า 3 พันร้าน ตรงนี้จะทำให้มีเงินเข้ามาช่วยในการปล่อยสินเชื่อได้เร็วขึ้น ในขณะที่การปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ (C4C) ซึ่งให้ผลตอบแทน EIR เพียง 14%  และมีระยะเวลาการให้สินเชื่อ 48-24 เดือน และมีค่าคอมมิชชั่นให้พนักงานขายของบริษัท

ดังนี้ปีนี้บริษัทมีแผนลดพอร์ตสินเชื่อรถทำเงิน C4C เพื่อนำเงินส่วนดังกล่าวไปใช้กับสินเชื่อ Locked Phone ที่มีอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่า โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 บริษัทมีสินเชื่อรวม 14,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นสินเชื่อรถทำเงิน 11,376 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 78 ของสินเชื่อรวม โดยจะปรับลดลงเหลือระดับ 8,000-9,000 ล้านบาท

ทั้งนี้การผ่อนมือถือเพื่อให้กับกลุ่มที่ต้องการใช้มือถืออย่างแท้จริง เพื่อนำไปประกอบอาชีพ การติดต่อสื่อสาร และพิจารณาควบคุมความเสี่ยงในการปล่อยให้กับลูกค้าที่มีศักยภาพผ่อนจริง โดยหลักๆ เป็นกลุ่ม Underserved เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายการปล่อยสินเชื่อของภาครัฐ ที่ต้องการปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ

สำหรับปัจจุบันบริษัทได้จับมือพันธมิตรแบรนด์มือถือชั้นนำเข้าร่วมโครงการ Locked Phone ทั้งสิ้น 4 แบรนด์ ได้แก่ Oppo, Vivo, Xiaomi และ Realme ถือเป็นยักษ์ใหญ่ที่มีมาร์เก็ตแชร์ตลาดสมาร์ทโฟนในไทยรวมกันประมาณ 55% เพิ่มโอกาสการเติบโตรับแนวโน้มครึ่งปีหลังมีดีมานด์จากการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ที่มาพร้อมเทคโนโลยี AI เข้ามากระตุ้นกำลังซื้อ

นายอโณทัย กล่าวต่ออีกว่า จากกรณี SGC แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ จำนวน 5,232 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 3,270 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่จำนวน 8,502 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 5,232 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท โดยจะเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) จำนวนหุ้นที่จัดสรร (หุ้น) 3,270 ล้านหุ้น ในอัตราส่วน 1 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุน โดยราคาเสนอขายจะเป็นราคาที่มีส่วนลดไม่เกิน 15% ของราคาตลาด ณ วันกำหนดราคาเสนอขาย

รวมทั้ง จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 654 ล้านหุ้น รองรับการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ครั้งที่ 1 (SGC-W1) ซึ่งจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่ (ก่อนการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้) และจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 1,308 ล้านหุ้น รองรับการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ครั้งที่ 2 (SGC-W2) ซึ่งจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทที่จองซื้อและได้รับจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกและเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน

ทั้งนี้ การออกและเสนอขาย SGC-W1 จำนวนไม่เกิน 654 ล้านหน่วย โดยไม่คิดมูลค่าการเสนอขาย ในอัตราส่วน 5 หุ้นสามัญเดิม (ไม่รวมหุ้นเพิ่มทุนที่จัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่) ต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ SGC-W1  กำหนดอัตราการใช้สิทธิของ SGC-W1 1 หน่วย ใบสำคัญแสดงสิทธิ ต่อ 1 หุ้นสามัญ มีอายุ 1 ปี โดยราคาใช้สิทธิแปลงสภาพจะเป็นราคาที่มีส่วนลด 10% ของราคาตลาด ณ วันกำหนดราคาใช้สิทธิแปลงสภาพ

อีกทั้ง การออกและเสนอขาย SGC-W2 จำนวนไม่เกิน 1,308 ล้านหน่วย โดยไม่คิดมูลค่าการเสนอขาย ในอัตราส่วน 2.5 หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จองซื้อและได้รับการจัดสรร ต่อ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ กำหนดอัตราการใช้สิทธิของ SGC-W2 1 หน่วย ใบสำคัญแสดงสิทธิ ต่อ 1 หุ้นสามัญ มีอายุ 3 ปี โดยราคาใช้สิทธิแปลงสภาพจะเป็นราคาที่มีส่วนเพิ่ม 10% ของราคาตลาด ณ วันกำหนดราคาใช้สิทธิแปลงสภาพ

สำหรับวัตถุประสงค์การเพิ่มทุนครั้งนี้ SGC มีแผนจะนำเงินที่ได้ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการและขยายธุรกิจในอนาคต และใช้ชำระหนี้ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER ซึ่งเป็นบริษัทแม่ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน และรองรับโอกาสการขยายธุรกิจในอนาคต อย่างไรก็ดี สิทธิในการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนยังมีความไม่แน่นอนเนื่องจากต้องรอการอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/67 กำหนดจัดในวันที่ 7 สิงหาคม 67 นี้ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์” นายอโณทัย กล่าว

ด้านนายนราธิป วิรุฬห์ชาตะพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER กล่าวว่า บริษัทในฐานที่เป็นบริษัทแม่ของ SGC ซึ่งถือหุ้น 74.92% เชื่อมั่นว่าการปรับเปลี่ยนทางธุรกิจเพื่อสร้างรากฐานใหม่ในการเติบโตของ SGC ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ SINGER ในครั้งนี้ จะสร้างโอกาสการเติบโตต่อไปในอนาคต ทั้งในด้านผลการดำเนินงาน และความมั่นคงทางการเงินในงบดุลของบริษัท

ทั้งนี้ SINGER ได้พิจารณาประมาณการทางการเงินในอนาคตแล้ว มองว่า การนำเอาเทคโนโลยี และการควบคุมความเสี่ยงด้วยระบบมาช่วยบริหารจัดการ จะสร้างรากฐานการเติบโตของกลุ่ม SINGER เพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้นได้ในอนาคต

“สำหรับแนวโน้มธุรกิจ SINGER และ SGC มองว่าจะยังคงมีโอกาสการเติบโตในอนาคตภายใต้ Ecosystem ของ SINGER และมั่นใจกลับมาเทิร์นอะราวด์ บนความคาดหวังว่าจะสามารถได้ผลตอบแทน EIR มากกว่า 28% และการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการปล่อยสินเชื่อ และการบริหารความเสี่ยงและคุม NPL ให้ต่ำ อีกทั้งจากการมีร้านค้าพันธมิตรครอบคลุมทั่วประเทศ 5,000 แห่ง ”นายนราธิป ทิ้งท้าย

Back to top button