คัด 7 หุ้น จ่อรับเม็ดเงิน “กองทุนวายุภักษ์” หวนคืน 1 แสนล้าน เข้าตลาดทุนไทย!
โบรกมองข่าวพิจารณานำกองทุนวายุภักษ์กลับมา คาดมีวงเงินไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท หวังกระตุ้นตลาดทุนไทย ชี้มีมุมมองบวกต่อหุ้น PTT-AOT-SCB-KTB-TTB-BSRC-ADVANC คาดเม็ดเงินไหนเข้า
ผู้สื่อข่าวรายงานจากข้อมูล นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ได้เปิดเผยถึงความคืบหน้าอีกหนึ่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ คือ การนำ กองทุนวายุภักษ์ กลับมาใช้อีกครั้ง ทั้งนี้จากรายงานระบุว่า สำนักคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) อยู่ระหว่างการทำรายละเอียดกองทุนและอาจใช้ชื่อว่า กองทุนวายุภักษ์ 3 คาดการณ์มีวงเงินมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท ขณะที่คาดหวังว่าภายในระยะเวลา 2 เดือนนับจากนี้จะสามารถดำเนินการเพื่อกระตุ้นตลาดหุ้นไทยได้ทันที
นอกจากนี้ คาดการณ์ว่าจะมีเม็ดเงินใหม่ไหลเข้าตลาดทุนราว 1 แสนล้านบาท เมื่อรวมกับกองทุนวายุภักษ์เดิมที่มีมูลค่ากว่า 3.4 แสนล้านบาท ส่งผลให้สภาพคล่องตลาดทุนที่รัฐบาลใส่เข้าไปนั้นสูงกว่า 5 แสนล้านบาท
ขณะที่ สอดคล้องกับการวิเคราะห์ของ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ข่าวการพิจารณานำกองทุนวายุภักษ์กลับมาใช้ซึ่งจะหนึ่งเครื่องมือช่วยในการขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทย ดังนั้นฝ่ายนักวิเคราะห์จึงมีมุมมองจิตวิทยาบวกต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะหุ้นที่กองทุนถือสัดส่วนสูงในปัจจุบัน อาทิ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT, บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT, บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB, ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB, ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB, บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC และ บริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) หรือ BSRC
นอกจากนี้หุ้นทั้ง 7 บริษัท ที่มีกองทุนถือจำนวนมากเป็นปัจจัยบวกแล้วนั้น บริษัทยังมีปัจจัยบวกเฉพาะเข้ามาหนุนอย่างผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2567 ที่ฝ่ายนักวิเคราะห์ประเมินว่ายังเติบโตแข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อนหน้า อาทิ
บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” PTT ราคาเป้าหมาย 37.00 บาท โดยมีคาดการณ์ว่านโยบาย การปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ (Single Pool Gas) มีผลบังคับใช้ในไตรมาส 2/2567 หลังจากมีมติคณะรัฐมนตรีเรื่องการปรับโครงสร้างมาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 ขณะที่ PTT ระบุว่าจนถึงปัจจุบันนโยบายดังกล่าวยังไม่มีผลบังคับใช้
ทั้งนี้ คาดว่าหลักเกณฑ์คำนวณ Single Pool Gas ที่ชัดเจนจะออกมาภายในไตรมาส 2/2567 และจะมีผลบังคับใช้ย้อนหลังตั้งแต่ มกราคม 2567 ซึ่งจะทำให้แนวโน้มกำไรของธุรกิจก๊าซในไตรมาส 2/2567 ลดลง เนื่องจากต้องรับผลกระทบเป็น 2 เท่า
นอกจากนั้น ยังมีข่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เตรียมเรียกเก็บการส่งผ่านราคาก๊าซกรณีผู้ผลิตไม่สามารถส่งมอบได้ (Shortfall) รอบที่ 2 อีก 4,700 ล้านบาท ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2556-2563 อย่างไรก็ตาม ยังมีมุมมองคาดการณ์ว่า PTT ยังคงจ่ายเงินปันผลทั้งปี 2 บาท/หุ้น
บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” AOT ราคาเป้าหมาย 74.00 บาท คาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนประเทศไทยจะทะลุเป้าปี 2567 ของทางการที่ 35 ล้านคน และประมาณการที่ 36 ล้านคน โดยคาดการณ์ว่าในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 17.5 ล้านคน ซึ่งการเกินเป้าทุกๆ 1 ล้านคน จะทำให้กำไรของ AOT เพิ่มขึ้น 3% ในปี 2567-2568
บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” SCB ราคาเป้าหมาย 122 บาท หลังได้รับปัจจัยหนุนใหม่ที่จะช่วยในการเติบโตในอนาคต ภายหลังที่ SCB ได้รับเลือกให้เป็นผู้พัฒนาระบบโอนเงินและใช้จ่ายเงินในโครงการ Digital Wallet จากรัฐบาลนั้น ฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่าอาจไม่ได้มีผลต่อผลประกอบการของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากการได้รับเลือกให้ดูแลระบบการโอนเงินและใช้จ่ายเงินน่าจะทำให้ SCB ได้รับรายได้ค่าธรรมเนียมบางส่วนซึ่งน่าจะไม่ได้สูงมาก
ทั้งนี้ สิ่งที่บริษัทจะได้ คือ สภาพคล่องราคาถูกจากเงินที่รัฐบาลโอนให้กับผู้รับเงิน รวมไปถึงข้อมูลของผู้รับเงิน ซึ่งจะช่วยต่อยอดไปสู่การขายผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ พร้อมกันนี้ยังมองว่าบริษัทมีความโดดเด่นเรื่องเงินปันผล
บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด แนะนำ “ซื้อ” KTB ราคาเป้าหมาย 21.00 บาท โดยคาดการณ์กำไรไตรมาส 2/2567 อยู่ที่ 10,608 ล้านบาท ลดลง 4% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการคาดการณ์สินเชื่อลดลงอยู่ที่ 2% จากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากการเบิกจ่ายสินเชื่อภาครัฐยังไม่เต็มที่
บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด แนะนำ “ซื้อ” TTB ราคาเป้าหมาย 1.92 บาท ประเมินว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2/2567 อยู่ที่ 5.24 พันล้านบาท ลดลง 1.7% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่เพิ่มขึ้น 14.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการรับรู้ผลประโยชน์ทางภาษีและค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองที่ลดลงจากผลของการ selective growth
อีกทั้ง มีมุมมองที่เป็นบวกจากการประชุมนักวิเคราะห์ 3 เรื่อง ได้แก่ 1.คุณภาพสินเชื่อที่ดีขึ้น 2.แรงกดดันของ NIM ที่โมเมนตัมในช่วงที่เหลือของปีอาจจะทรงตัวหรือลดลงเพียงเล็กน้อย และ 3.มีโอกาสขยับอัตราส่วนการจ่ายปันผล (payout ratio) ขึ้น หนุนให้ปันผลอาจสูงกว่า 7%
บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “ซื้อ” ADVANC ราคาเป้าหมาย 259 บาท คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2/2567 อยู่ที่ 8.57 พันล้านบาท เติบโต 19.40% เทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1.40% จากไตรมาสก่อน ซึ่งส่งผลให้กำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกมีสัดส่วน 58% ของประมาณการทั้งปี
ขณะที่ กำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 54.40% ในไตรมาส 2/2567 เนื่องจากเชื่อว่างบลงทุนในโครงข่ายและ SG&A จะลดลง นอกจากนี้ ยังประมาณการว่ารายได้จากการให้บริการ (ไม่รวมค่าเชื่อมโยงโครงข่ายหรือ IC) จะเติบโต 16.80% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และ 0.40% จากไตรมาสก่อนในไตรมาส 2/67 นำโดยรายได้จากบริการบรอดแบนด์ที่คาดการณ์จะเพิ่มขึ้น 154% จากปีก่อน และ 2% จากไตรมาสก่อนหน้า
นอกจากนี้ เชื่อว่ายอดผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และบรอดแบนด์สุทธิในไตรมาส 2/2567 จะเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า จากการแข่งขันที่ทรงตัวและการหลั่งไหลเข้ามาของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” BSRC ราคาเป้าหมาย 11.50 บาท โดยจากการประชุมนักวิเคราะห์มีมุมมองกลางๆ โดยบริษัทคาดการณ์ว่าจะสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ให้บริษัทได้มากกว่า 2.5 พันล้านบาท ในปีนี้ ซึ่งมองว่าเป็นไปได้ นอกจากนี้บริษัทกำลังมองหาความริเริ่มใหม่ๆ เพื่อเพิ่มอานิสงส์จากร่วมลงทุน (synergies) ในธุรกิจการตลาด อาทิ การเพิ่มการเข้าถึงแบรนด์ touchpoints สำหรับธุรกิจที่ไม่ใช่นำมัน โรงกลั่น