7 โบรกเชียร์ซื้อ TU อัพเป้าสูง 19.70 บ. คาดกำไรไตรมาส 2 ทะลุพันล้านบาท
โบรกประสานเสียงซื้อ TU อัพเป้าสูงสุด 19.70 บ. คาดกำไรไตรมาส 2/67 ทะลุพันล้านบาท รับอานิสงส์เติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจการดูแลสัตว์เลี้ยงเด่นสุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทิศทางผลประกอบการไตรมาส 2/2567 ของ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ยังคงเติบโตต่อเนื่องจากการประเมินของหลายโบรกเกอร์ พร้อมกับประสานเสียงแนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมายสูงสุด 19.70 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์วันที่ (5 ก.ค. 67) โดยคาดว่ากำไรปกติของ TU ในไตรมาส 2/2567 จะอยู่ที่ 1.17 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสก่อน โดยคาดว่า รายได้จะเพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และ7% จากไตรมาสก่อน เป็น 3.54 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะมาจากการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจการดูแลสัตว์เลี้ยงจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในสหรัฐ และ EU ยกเว้นธุรกิจอาหารทะเล แช่แข็งซึ่งคาดว่ายอดขายจะลดลง 3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน แต่จะเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน เพราะกลยุทธ์การกำหนดขนาดที่ เหมาะสม (right-sizing strategy) และ อุปสงค์ที่อ่อนแอในสหรัฐ
ขณะเดียวกันคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) จะเพิ่มขึ้นทั้งจากงวดเดียวของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน เป็น 17.9% เนื่องจากอัตรากำไรของธุรกิจการดูแลสัตว์เลี้ยง และอาหารทะเลแปรรูปเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดว่าสัดส่วน SG&A ต่อยอดขายจะเพิ่มขึ้น 0.9ppt จากไตรมาสก่อน และทรงตัวจากไตรมาสก่อน อยู่ที่ 12.6% เพราะบริษัทมีค่าใช้จ่ายด้านการตลาด และ การบริหารเพิ่มขึ้นจากโครงการใหม่ ๆ ดังนั้น จึงคาดว่า กำไรจากการดำเนินงานของ TU จะเพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และ24% จากไตรมาสก่อน เป็น 2.08 พันล้านบาท
นอกจากนี้ TU จะไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนจาก Red Lobster อีกในไตรมาสนี้ นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง ของ Avanti Feed Limited (AVNT.IN/AVNT IN) จะเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโต เราคาดว่า ส่วนแบ่งกำไรจาก JVs และบริษัทร่วมจะอยู่ที่ 192 ล้านบาท (จากที่ขาดทุน 137 ล้านบาทในไตรมาส 2/2566, เพิ่มขึ้น 21% จากไตรมาสก่อน) อย่างไรก็ตาม คาดว่า TU จะมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 250 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายภาษี จะเพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ เพราะไม่สามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก Red Lobster ได้อีก
โดยยังคงมองว่าผลการดำเนินงานของ TU จะดีขึ้นต่อเนื่องในครึ่งหลังของปี 2567 เพราะ GPM ที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจ อาหารทะเลแปรรูป เพราะราคาทูน่าเริ่มฟื้นตัวขึ้น ทั้งนี้ ได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 และ 2568 ขึ้นอีก 2% เป็น 6.15 พันล้านบาท และ 7.11 พันล้านบาท ตามลำดับ เพื่อสะท้อนถึงกำไรที่แข็งแกร่ง ขึ้นจากธุรกิจดูแลสัตว์เลี้ยง ซึ่งจะถูกหักล้างไปบางส่วนด้วยค่าใช้จ่าย SG&A ที่เพิ่มขึ้น
ดังนั้น ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” TU และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปี 2567 เป็น 19.70 บาท จากเดิมที่ 19.30 บาท อิง จาก PER ที่ 15.0 เท่า
บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์วันที่ (5 ก.ค. 67) โดยคาดผลประกอบการไตรมาส 2/2567 ของ TU ว่าจะมีกำไรสุทธิ 1,189 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากงวดเดียวของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อน โดยในไตรมาสนี้ คาดบันทึกขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน 150 ล้านบาท โดยหากไม่รวมรายการดังกล่าว คาดกำไรหลักจะลดลง 2% จากงวดเดียวของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 41% จากไตรมาสก่อน จากคาดรายได้รวมเพิ่มขึ้น 3% จากงวดเดียวของปีก่อน และ 5% จากไตรมาสก่อน จากธุรกิจ เกือบทุกกลุ่มที่เพิ่มขึ้น ยกเว้นธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งที่ลดลง โดยแบ่งเป็น
ธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป (Ambient seafood) คาดรายได้เพิ่มขึ้นจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ ลูกค้ากลุ่ม OEM ที่มีออเดอร์สินค้าเพิ่มขึ้นตามราคาปลาทูน่าที่ปรับลดลงไตรมาส 2/2567 อยู่ที่เฉลี่ย 1,478 ตันต่อดอลลาร์ ลดลง26% จากงวดเดียวของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 11% จากไตรมาสก่อน
ธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง (Frozen chilled seafood) ลดลงจากการปรับลดขนาดธุรกิจ Trading ที่อเมริกาที่ มีผลขาดทุน ประกอบกับภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลให้ธุรกิจ Forzen รายได้ลดลง
ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง (PetCare) คาดรายได้เพิ่มขึ้น 33% จากงวดเดียวของปีก่อน และ 7% จากไตรมาสก่อน จากกลุ่มลูกค้าสหรัฐฯและ ยุโรปที่เพิ่มขึ้น จากปัญหาการระบายสต็อกสินค้าเก่าเริ่มหมดลง การสั่งสินค้าพรีเมี่ยมของลูกค้ารายใหญ่ กลับมาเพิ่มขึ้น
ธุรกิจผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า (Value added and others) คาดเพิ่มขึ้นจากราคาขายที่ดีขึ้น และโรงงานใหม่ Culinary Business และ Ingredients Business เริ่มดำเนินงานตั้งแต่ไตรมาส 3/2566 ที่ผ่านมา
คาดรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุน 160 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวของปีก่อน ทรงตัวจากไตรมาสก่อน จากธุรกิจ Avanti และคาดอัตรามาร์จิ้ นเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน จากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป (Ambient seafood) ซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่มีสัดส่วนรายได้มากสุด โดยราคาปลาทูน่าที่ปรับตัวลดลง และคาด ค่าใช้จ่ายในการขายบริหารต่อยอดขายเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน จากการทำการตลาดเพื่อเพิ่มยอดขาย
นอกจากนี้ คาดผลประกอบการไตรมาส 3/2567 ดีขึ้นจากงวดเดียวของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน ต่อเนื่องจากดีมาน์ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้น เป็นหลัก เรายังคงประมาณการเดิมคาดกำไรปกติปี 2567 มาอยู่ที่ 5,810 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 23% จากงวดเดียวของปีก่อน) จากการไม่ต้องรับรู้ขาดทุนจาก Red Lobster (RL) แล้ว และคาดกำไรสุทธิปี 2568 อยู่ที่ 6,545 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 13% จากงวดเดียวของปีก่อน) ตามลำดับ แนวโน้มราคาปลาทูน่าที่ลดลงส่งผลต่ออัตรามาร์จิ้นธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่ เพิ่มขึ้น และส่งผลธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป (Ambient seafood) มีปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น สำหรับคาด ธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งคาดยังลดลงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและการปรับลดขนาดธุรกิจในสหรัฐฯ คาดอัตราทำกำไรจะค่อยๆดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปี จากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่คาดจะกลับมาเติบโตมี อัตรามาร์จิ้ นที่เพิ่มขึ้น สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารคาดใกล้เคียงเดิม และบริษัทจะเสียภาษีเงิน ได้นิติบุคคลจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ปีละ 7% จากการได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี BOI และไม่มีเครดิตภาษีเงินได้ จากธุรกิจในต่างประเทศแล้ว
ทั้งนี้ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” จากคาดผลประกอบการเริ่มกลับมาปกติและการไม่ต้องรับรู้ขาดทุนจากธุรกิจ Red Lobster (RL) แล้ว รวมถึงสถานการณ์ปัจจัยลบต่างๆ เริ่มคลี่คลาย มูลค่าที่เหมาะสมที่ 17.50 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์วันที่ (5 ก.ค. 67) คาดว่า TU จะรายงานผลประกอบการสำหรับงวด 3 เดือนไตรมาส 2/2567 มีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ระดับ 35,903 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 5.41% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 8.08% จากไตรมาสก่อน และกำไรสุทธิที่ 1,097 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.67% จากงวดเดียวของปีก่อน แต่ลดลง 4.84% จากไตรมาสก่อน โดยในแง่ของรายได้มีแรงหนุนจากบาทอ่อน กลุ่มธุรกิจ Ambient Seafood และ ธุรกิจ Petcare หลัง Inventory คู่ค้ากลับ สู่ปกติเมื่อเทียบจากงวดเดียวของปีก่อน
ขณะที่ในส่วนของ GPM คาดเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวของปีก่อนและจากไตรมาสก่อน จาก Product mix (สัดส่วน Petcare สูง) และ ราคาปลาทูน่าแกว่งขึ้นจากโซนล่าง (โดยเฉพาะ Ambient Seafood/ ต้นทุนถูก/มีเหตุผลในการการปรับขึ้นราคา ขาย) อย่างไรก็ตามแม้คาด รายได้ และกำไรขั้นต้นจะออกมาดีมาก แต่ในแง่ของกำไรสุทธิอาจถูกกดดันอยู่บ้าง จาก
1.การรับรู้รายได้ของฝั่ง Petcare บางส่วนที่เจอปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลนจึงส่งล้าช้าและรับรู้รายได้ ได้ช้าขึ้น (ไปรับรู้ในไตรมาส 3/2567 แทน)
2.คาด Fx loss ไตรมาสนี้ เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2567 ที่มี Fx gain ราว เพิ่มขึ้น 209 ล้านบาท และกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุนใน LDH +52 ล้านบาท
3.ค่าใช้จ่ายการตลาดที่สูงขึ้นส่งผลให้ SG&A อยู่ในระดับสูง ทั้งนี้หากตัดรายการพิเศษออกไป ยังคาดกำไรปกติยังฟื้นตัวได้ดีที่ 1,360 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 6.38% จากงวดเดียวของปีก่อน, และเพิ่มขึ้น 52.48% จากไตรมาสก่อน
สำหรับภาพการดำเนินงานในช่วงถัดไปไตรมาส 3/2567 ยังคาดมีโอกาสเห็นกำไรแกว่งขึ้นจากงวดเดียวของปีก่อนและไตรมาสก่อน จาก 1.โม เมนตัมการเติบโตของธุรกิจ Petcare ที่ยังต่อเนื่องขณะที่ การขายบางส่วนในไตรมาส 2/2567 จะถูกไปรับรู้ในไตรมาส 3/2567 แทนหลังมีปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน
2.คาด Fx loss ในไตรมาส 2/2567 ส่วนไตรมาส 3/2566 มี Fx loss และส่วน แบ่งขาดทุนจาก RL รวมราว ลดลง 540 ล้านบาท ซึ่งในไตรมาส 3/2567 คาดน้ำหนักจากปัจจัยลบดังกล่าวจะลดทอนไป
3.คาด มาร์จิ้นยังอยู่ในกรอบบนโดยเฉพาะ Ambient Seafood จาก ต้นทุนราคาปลาทูน่าที่แกว่งขึ้นจากโซนต่ำ 1,300-1,500 usd/ton ขึ้นบน(แต่คาดว่าจะไม่สูงเกินไป ไม่ควรสูงกว่า 1,800 usd/ton) ส่งผลดีต่อต้นทุนถูก แต่ขายได้แพง(การปรับราคาขายตามราคาปลา)โดย มิ.ย. 2567 ราคาปลาทูน่า skipjack อยู่ที่ 1,580usd/ton (เทียบปี 2566 ที่ราคาขึ้นไปยืนแถวบริเวณ 1,800-2,000 usd/tonเป็นเวลานาน)
ทั้งนี้ในภาพระยะยาวเรายังมีมุมมองที่ดีต่ออนาคตของ TU โดยปัจจัยแรกมาจากโมเมนตัมการขยายตัวของกลุ่ม ธุรกิจ Petcareและธุรกิจ Value-addedปัจจัยที่สองมาจากภาระ Red Lobster ที่หายไป และปัจจัยสุดท้าย จากการลงทุนในธุรกิจที่มีความน่าสนใจ เช่น การลงทุนใน Food Tech, Alternative Protein, เครื่องปรุงรส, ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เป็นต้น ปัจจุบันปรับคาดการณ์กำไรสุทธิปี 67 และ 68 ให้สอดคล้องกับประมาณการไตรมาส 2/2567 ที่ 5,886 ล้านบาท(จากขาดทุนปี 2566) และ 6,599 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 12.12% จากงวดเดียวของปีก่อน) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี67 อยู่ที่ 19.00 บาท (PE multiplier อ้างอิงจาก PE เหมาะสมที่ 15 เท่า)
บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์วันที่ (5 ก.ค. 67) คาดการณ์ผลดำเนินงานไตรมาส 2/2567 จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,287 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้น 12% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีปัจจัยบวกมาจากการเติบโตของธุรกิจอาหารแปรรูปและอาหารสัตว์เลี้ยง และการลดลงของราคาปลาทูน่าทำให้กำไรขั้นต้นปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงการไม่มีส่วนแบ่งขาดทุนจาก Red Lobster เข้ามาเป็นไตรมาสที่ 2/2567
ทั้งนี้ คาดการณ์รายได้อยู่ที่ 35,896 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 8% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยธุรกิจอาหารแปรรูป (Ambient Seafood) และอาหารสัตว์เลี้ยง (Per care) เติบโตทั้งเมื่อเทียบกับปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า
ขณะที่ธุรกิจอาหารแช่แข็ง (Frozen Seafood) ยังคงลดลงจากปีก่อนหลังมีผลกระทบของการปรับขนาดสินค้าไตรมาส 2/67เริ่มทำไม่เต็มไตรมาสแต่หากเทียบกับไตมาส 1/2567 จะเติบโตอย่างมาก
ส่วนภาพรวมช่วงครึ่งหลังปี 2567 ในแง่รายได้คาดการณ์ว่าจะยังเห็นการเติบโตได้ต่อเนื่องจากผลของการปรับราคาสินค้าหลังจากราคาปลาทูน่าเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงผลกระทบจากนโยบายปรับขนาดสินค้าได้หมดแล้ว ขณะที่ด้านธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงยังคงเติบโตได้ดีจากการออกสินค้าใหม่ และคำสั่งซื้อที่บางส่วนล่าช้ามาจากไตรมาส 2/2567 โดยทางผู้บริหารอาจจะมีการปรับประมาณการทั้งปีใหม่ภายหลังการประกาศงบช่วงต้นเดือน ส.ค. นี้ และทำให้ฝ่ายนักวิเคราะห์ยังคงประมาณกำไรสุทธิทั้งปีอยู่ที่ 5,553 ล้านบาท เท่าเดิมก่อนจากการคาดการณ์ ทั้งนี้ ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 18.10 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์วันที่ (5 ก.ค. 67) คาดการณ์กําไรไตรมาส 2/2567 อยู่ที่ 1,100 ล้านบาท ลดลง 5% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่ดีขึ้น 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยสำคัญ ได้แก่ 1.ยอดขายรวมเพิ่มขึ้น 8% จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหลังยอดขายอาหารทะเลกระป้องและอาหารสัตว์เลี้ยงปรับตัวดีขึ้น แต่อาจเห็นการชะลอตัวของยอดขายอาหารทะเลแช่เย็น รวมถึงแช่แข็งบ้างตามการชะลอตัวของตลาดในสหรัฐฯ
2.อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 17.7% เพิ่มขึ้นจาก 17.3% ในช่วงไตรมาส 1/2567 โดยหลักมาจากต้นทุนทูน่าที่ปรับตัวลง ซึ่งส่งผลบวกต่อทั้งธุรกิจอาหารทะเลกระป้องและอาหารสัตว์เลี้ยง
3.คาดการณ์ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาสก่อนหน้าจากการปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายทางการตลาด
4.ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น 12% จากไตรมาสก่อนหน้าเนื่องจากผลการดำเนินงานของ Avanit Feed ปรับตัวดีขึ้น อีกทั้งไม่มีการรับรู้ผลขาดทุนจาก Red Lobster เข้ามากดดัน
5.คาดการณ์กําไรขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน Fx Loss อยู่ประมาณ 210 ล้านบาท พลิกจากที่มีเปอร์เซ็นต์ของผลกำไรของพอร์ตลงทุน Fx Gain ในไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ 209 ล้านบาท ซึ่งทำให้แม้ผลการดำเนินงานโดยรวมจะปรับตัวดีขึ้น แต่กำไรสุทธิอาจปรับตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า
ทั้งนี้ คาดการณ์แนวโน้มผลการดําเนินงานในครึ่งหลังปี 2567 จะยังดีต่อเนื่องแม้ราคาทูน่าล่าสุดจะปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 1,580 เหรียญต่อตัน แต่ยังเป็นระดับที่บริหารจัดการได้และเป็นปกติตามฤดูกาล เนื่องจากเป็นช่วงที่ห้ามจังปลาด้วยเครื่องมือรวมฝูงปลา
ขณะที่ คาดการณ์จะเห็นผลบวกจากต้นทุนทูน่าในสต๊อกที่อยู่ในระดับต่ำมากขึ้น ส่วนการประกาศจำหน่ายหุ้นซื้อคืน จำนวน 200 ล้านหุ้น คิดเป็น 4% ของหุ้นทั้งหมดนั้นอาจไม่ได้กระทบในเชิงลบ เนื่องจากต้นทุนราคาหุ้นซื้อคืนอยู่ที่ 14.88 บาท ซึ่งยังสูงกว่าราคาที่ซื้อขายเล็กน้อยและบริษัทอาจใช้วิธีการลดทุนสำหรับหุ้นซื้อคืนดังกล่าวเหมือนที่เคยทำให้ครั้งก่อนหน้า ทั้งนี้ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 17.60 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์วันที่ (5 ก.ค. 67) ประเมินกำไรปกติไตรมาส 2/2567 อยู่ที่ 1.1 พันล้านบาท ลดลง 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ปรับเพิ่มขึ้น 24% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีปัจจัยสำคัญดังนี้ 1.รายได้ปรับตัวขึ้น 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยหลักได้อานิสงส์จากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง (PetCare) จากสถานการณ์ destocking ฟื้นตัว และการขยายผลิตภัณฑ์และลูกค้าใหม่ต่อเนื่องและธุรกิจอาหาร ทะเลแปรรูป (Ambient seafood) จากอุปสงค์ในยุโรปและตะวันออกกลางยังแข็งแกร่ง
อีกทั้ง ราคาขายดีขึ้นตามราคาทูน่า โดยราคาทูน่าช่วงไตรมาส 2/2567 อยู่ที่ USD 1,478/ton ลดลง 26% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแต่เพิ่มขึ้น 11% จากไตรมาสก่อนหน้า
2.อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) อยู่ที่ 17.8% ดีขึ้นจากไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ 16.9% และช่วงไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ 17.3% จากธุรกิจ PetCare ฟื้นตัวจากฐานธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง (Frozen seafood) ปรับตัวดีขึ้นจากการทำ right sizing และราคาขายธุรกิจ Ambient seafood ดีขึ้นตามราคาทูน่า
3.SG&A/Sale อยู่ที่ 12.8% สูงขึ้นจากไตรมาส 2/2567 อยู่ที่ 11.7% และช่วงไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ 12.6% จากค่าใช้จ่ายการตลาดและพัฒนาโครงการสูงขึ้น
4.รายได้อื่นโดยรวมเพิ่มขึ้น 294% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยขยายตัวสูงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากการหยุดรับผลการดำเนินงาน Red Lobster ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 1/2567 รวมถึงผลการดำเนินงาน Avanti ดีขึ้น
ทั้งนี้ ได้ปรับกำไรปกติครึ่งหลังปี 2567 ลดลง 6% ซึ่งจะอยู่ที่ 4.9 พันล้านบาท ปรับตัวลงลด 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากการปรับสมมติฐาน SG&A หลังบริษัทกลับมาทำการตลาดเชิงรุกมากขึ้นแต่ถูกชดเชยบางส่วนจากการปรับผลการรดำเนินงานธุรกิจ Pet Care ขึ้น
ขณะที่ช่วงไตรมาส 3/2567 เบื้องต้นประเมินกำไรปกติจะดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งได้ปัจจัยหนุนหลัก คือ 1.ธุรกิจ Ambient seafood จากการเข้าสู่ high season และราคาขายปรับตัวสูงขึ้นตามราคา spot ทูน่า ขณะที่ต้นทุนลดลงซึ่งมีผลกระทบย้อนหลัง lagging effect ประมาณ 2-3 เดือน
2.ธุรกิจ PetCare ได้ปัจจัยหนุนจากการขยายผลิตภัณฑ์และลูกค้าใหม่ต่อเนื่องและสัดส่วนสินค้า premium ทรงตัวสูง รวมไปถึง 3.สถานการณ์ตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลนโดยรวมดีขึ้น
โดยคงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 18.00 บาท จากเดิม 18.50 ขณะที่ คาดการณ์ว่าบริษัทมีความเป็นไปได้ที่จะตัดจำหน่ายหุ้นซื้อคืน 200 ล้านหุ้น และลดทุนจดทะเบียน ซึ่งจะช่วยเพิ่ม EPS อยู่ที่ 4%
บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์วันที่ (5 ก.ค. 67) คาดการณ์กำไรปกติไตรมาส 2/2567 อยู่ที่ 1,222 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.5% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่ลดลง 6.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากธุรกิจ Ambient และ Pet Care ทั้งนี้ ประเมินแนวโน้มกำไรจะเร่งตัวขึ้น จากไตรมาสก่อนหน้าในไตรมาส 3/2567 และทำระดับสูงสุดของปีในไตรมาส 4/2567 ตามปัจจัยฤดูกาล รวมถึงปริมาณความต้องการซื้อที่เติบโต และ GPM ที่ดีขึ้นจาก U-rate และการปรับราคากับลูกค้าขึ้น
ขณะที่มีมุมมองบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการของ TU และประเมินว่าบริษัทมีโอกาสลดทุนจากหุ้นซื้อคืน ซึ่งมองจะเป็น Upside ต่อราคาเป้าหมายของเราที่ 0.70 บาท/หุ้น โดยยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2567 อยู่ที่ 5,965 ล้านบาท เพิ่มขึ้น5.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 16.80 บาท