CHAO เทรดวันแรก โบรกชี้กำไร 3 ปี โตเฉลี่ย 17% เคาะเป้า 16.70 บ.

จับตา CHAO เทรดวันแรกเหนือจอง 11.80 บาท ฟากโบรกมั่นใจยอดขายโต 14% ลุ้น 3 ปี กำไรเติบโตเฉลี่ย 17% เคาะราคาเป้าหมาย 16.70 บาท หลังนำเงินขยายโรงงานพัฒนาระบบอัตโนมัติควบคุมคุณภาพสินค้า ดันกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นหนุนผลงานเติบโตแกร่ง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จับตาหุ้นน้องใหม่ไอพีโอ บริษัท เจ้าสัว ฟู้ดส์ อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ CHAO โดยดำเนินธุรกิจผลิตจัดจำหน่ายขนมขบเคี้ยวและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อสัตว์ อาทิ หมู ซึ่งถือเป็นหนึ่งในผู้นำกลุ่มขนมขบเคี้ยวไทยรูปแบบใหม่ (Modern Thai Snack) ที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ

โดยจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายใต้กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร อยู่ในหมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม พร้อมลงสนามเทรดในวันที่ 9 กรกฎาคม 2567 เป็นวันแรก

สำหรับ CHAO มีทุนชำระแล้วหลังเสนอขาย 300 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 40,740,00 หุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 46,944,100 ล้านหุ้น โดยเป็นการเสนอขายให้ประชาชนทั่วไป 87,684,100 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 11.80 บาท คิดเป็นมูลค่าการเสนอขาย IPO อยู่ที่ 553.94 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO อยู่ที่ 3,540 ล้านบาท

โดยการกำหนดราคาขายเสนอขายหุ้น IPO พิจารณาอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio: P/E Ratio) เท่ากับ 20.86 เท่า โดยผ่านการคำนวณงบย้อนหลัง 12 เดือน ที่ผ่านมาหารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ (fully diluted) ซึ่งจะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.57 บาท โดยมี บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) และผู้จัดการการจัดจำหน่าย รวมถึงรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ

ทั้งนี้ บริษัท เจ้าสัว มีระยะเวลาของการดำเนินธุรกิจตลอด 60 ปี ที่ผ่านมา บริษัทมุ่งสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนผ่านจุดแข็ง ได้แก่ 1.การเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตและจำหน่ายขนมขบเคี้ยวไทยรูปแบบใหม่ (Modern Thai Snack) ที่มุ่งเน้นการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ รสชาติอร่อย และนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย พร้อมผลักดันให้อุตสาหกรรมขนมขบเคี้ยวไทยรูปแบบใหม่ (Modern Thai Snack) เติบโตต่อเนื่องผ่านการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพด้วยกระบวนการผลิตให้มีมาตรฐานเพื่อยืดอายุของสินค้า

2.แบรนด์ “เจ้าสัว” นับว่าเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมสูง ผสานกับการที่บริษัทมุ่งสร้างการเติบโตผ่านกลยุทธ์ทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ อาทิ การสื่อสารการตลาดผ่านแบรนด์แอมบาสเดอร์ (Brand Ambassador) ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายสำหรับการทำการตลาดในต่างประเทศผ่าน Influencer เพื่อสร้างการรับรู้ให้แบรนด์มากยิ่งขึ้น

3.มีเครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าที่หลากหลาย ซี่งสามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างครอบคลุม 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มร้านค้าปลีกและค้าส่งสมัยใหม่ (Modern Trade) มากกว่า 23,000 แห่งทั่วประเทศไทย กลุ่มร้านค้าปลีกดั้งเดิม (Traditional Trade) รวมกันประมาณ 8,000 แห่ง ทั่วประเทศไทย

4.เข้าใจในพฤติกรรมผู้บริโภคและมีศักยภาพในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองเทรนด์การบริโภคของกลุ่มลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยมีทีมการตลาดและฝ่ายขายผสานความร่วมมือกับฝ่ายวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R&D) ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มีรสชาติอร่อยถูกปากผู้บริโภค มีเอกลักษณ์ต่างจาก เช่น ผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวแปรรูปจากเนื้อหมู ซึ่งรวมถึงหมูแท่ง มียอดขายในช่วงปี 2564-2566 มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 35.3%

5.การทำกำไรที่ดีเมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรม โดยมาจากประสบการณ์ในอุตสาหกรรมมาอย่างยาวนาน ทำให้เข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างต้นทุนของวัตถุดิบแต่ละประเภท รวมทั้งมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้จัดจำหน่ายวัตถุดิบ (Supplier) ในประเทศพร้อมกับการลงทุนระบบอัตโนมัติ (Automation) ในโรงงาน เพื่อบริหารต้นทุนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ

6.การบริหารสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมพัฒนาระบบบริหารจัดการสินค้าคงคลังอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีสินค้าเพียงพอต่อการขาย รวมถึงมีการติดตามอายุสินค้าและดำเนินการติดตามสถานะของสินค้าคงคลังอย่างสม่ำเสมอ

7.ผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมาอย่างยาวนานสามารถในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้เข้ากับสภาวะการแข่งขัน เศรษฐกิจ และเทรนด์การบริโภคของกลุ่มลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่วัตถุประสงค์ในการระดมทุนเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้  คือ 1.ก่อสร้างโรงงานโฮลซัมแห่งที่ 2 พัฒนาระบบอัตโนมัติและการปรับปรุงระบบควบคุมคุณภาพ, การขยายกำลังการผลิต, การลงทุนเพื่อการประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อมและการปรับปรุงระบบความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน 2.ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ และ 3.ใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมให้แก่สถาบันการเงิน

บริษัทมีกลยุทธ์ที่จะนำมาใช้เพื่อสร้างเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนทั้งหมด 6 ด้าน อาทิ 1.มุ่งเน้นการขยายตลาดในต่างประเทศ, 2.นำเสนอสินค้าใหม่ๆ ที่มีคุณภาพรสชาติอร่อยกลมกล่อมถูกปาก, 3.สร้างการรับรู้ของแบรนด์เจ้าสัวให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น, 4.พัฒนาสินค้าประเภทขนมขบเคี้ยวเพิ่มเติมให้กลุ่มผลิตภัณฑ์ (Product Portfolio), 5.ขยายช่องทางการจัดจำหน่ายและขยายฐานลูกค้า และ 6.บริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ บริษัทยังมีนโยบายในการดำเนินธุรกิจผ่านการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัท หลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและหลังหักสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายและบริษัทกำหนดไว้ ทั้งนี้ การพิจารณาจ่ายเงินปันผลอาจเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและแผนการดำเนินงานในอนาคต ตามที่คณะกรรมการบริษัท และ/หรือผู้ถือหุ้นของบริษัทเห็นสมควร

ด้าน นางสาวณภัทร โมรินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CHAO กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยเสริมศักยภาพในการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นอีกก้าวสำคัญในการมุ่งสู่การเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายขนมขบเคี้ยวและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อสัตว์ชั้นนำ โดยมีแผนจะนำเงินจากการระดมทุนในครั้งนี้ไปลงทุนขยายกำลังการผลิตและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคต

CHAO เพื่อมุ่งสู่การเป็นบริษัทจดทะเบียนชั้นนำของประเทศไทย ในหมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ที่มีปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจแข็งแกร่ง อีกทั้งมีศักยภาพพร้อมเติบโตอย่างต่อเนื่องในตลาดระดับโลก โดยภายหลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ CHAO มีแผนขยายธุรกิจทั้งโรงงานแห่งใหม่ ขยายกำลังการผลิต เพื่อรองรับศักยภาพการเติบโตจากการขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ มุ่งเติบโตสู่การเป็น Global Brand เพื่อสร้าง New S-curve และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว” นางสาวณภัทร กล่าวทิ้งท้าย

บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุผ่านบทวิเคราะห์ถึง CHAO ว่าคาดการณ์ยอดขายปี 2567 เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายกลุ่มขนมขบเคี้ยวที่เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากยอดขายข้าวตัง ขนมขบเคี้ยวแปรรูปจากเนื้อหมูและแครกเกอร์ธัญพืชเพิ่มขึ้นจากการออกสินค้าใหม่ รวมไปถึงการขยายช่องทางการขายและการส่งออกเพิ่มขึ้น

โดยคาดการณ์ว่ายอดขายผลิตภัณฑ์อาหารเพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากการเพิ่มขึ้นของผู้จัดจำหน่ายสินค้าผ่านทางช่องทางร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบลดลงจากการที่ราคาเนื้อหมูปรับตัวลง ซึ่งประเมินว่ากำไรจะเพิ่มขึ้น 29% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่านอยู่ที่ 208 ล้านบาท อีกทั้งบริษัทมีฐานะการเงินยังคงแข็งแกร่งเป็นเงินสูดสุทธิ คาดการณ์กำไร (CAGR) ช่วง 3 ปี (2566-2569) อยู่ที่ 17.3% จากการเติบโตของตลาดขนมขบเคี้ยว การขยายกำลังการผลิตและการขยายช่องทางขาย ทั้งนี้ให้ราคาเป้าหมายที่เหมาะสมอยู่ที่ 16.70 บาท

Back to top button