“เซียนฮง-เสี่ยปู่-นเรศ” โผล่ถือหุ้นน้องใหม่ CHAO

CHAO หุ้นน้องใหม่ไอพีโอ พบผู้ถือหุ้นใหญ่โผล่ถือหุ้น “เซียนฮง” ถือสัดส่วน 2.02%, “เสี่ยปู่” ถือสัดส่วน 0.81% และ “นเรศ” ถือสัดส่วน 0.67% มีความเชื่อมั่นในธุรกิจและผลการดำเนินงานที่เติบโตแกร่ง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เจ้าสัว ฟู้ดส์ อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ CHAO เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นวันแรกในวันนี้ (9 ก.ค. 67) อยู่ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร และหมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม

โดย CHAO เสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนรวม 87,684,100 หุ้น ประกอบด้วยหุ้นสามัญของผู้ถือหุ้นเดิม 40,740,00 หุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 46,944,100 หุ้น และมีหุ้นสามัญรองรับการแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิที่เสนอขายแก่ผู้บริหารและพนักงาน (ESOP Warrant) อีกจำนวน 4 ล้านหุ้น เสนอขายราคา IPO หุ้นละ 11.80 บาท  คิดเป็นมูลค่าการเสนอขาย IPO อยู่ที่ 553.94 ล้านบาท ขณะที่ มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO อยู่ที่ 3,540 ล้านบาท

สำหรับวัตถุประสงค์การระดมทุน 1.ใช้เป็นเงินทุนในการพัฒนาระบบอัตโนมัติ และการปรับปรุงระบบควบคุมคุณภาพ การขยายกำลังการผลิต การก่อสร้างโรงงานโฮลซัมแห่งที่ 2 การลงทุนเพื่อการประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม และการปรับปรุงระบบความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน 2.ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ในการดำเนินธุรกิจ 3.ใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมให้แก่สถาบันการเงิน

ทั้งนี้ ภาพรวมข้อมูลผู้ถือหุ้นภายหลัง IPO  ณ วันที่ 5 ก.ค. 67 พบรายชื่อนักลงทุนชื่อดังในวงการตลาดหุ้นร่วมติดในรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ของ CHAO ด้วย ได้แก่ ลำดับ 5 นายสถาพร งามเรืองพงศ์ (เซียนฮง) ถือหุ้นจำนวน 6,050,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 2.02 %, ลำดับ 11 นายสมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล (เสี่ยปู่) ถือหุ้นจำนวน 2,433,300 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 0.81% และลำดับ 12 นายนเรศ งามอภิชน ถือหุ้นจำนวน 2,000,000  หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 0.67%

สำหรับ CHAO ประกอบธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายขนมขบเคี้ยวและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อสัตว์ โดยสินค้าที่จำหน่ายส่วนใหญ่เป็นสินค้าภายใต้ตราสินค้าของกลุ่มบริษัท ภายใต้แบรนด์ “เจ้าสัว” และแบรนด์ โฮลซัม (Wholesome) โดยมีสินค้าแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1. ขนมขบเคี้ยว (Snacks) อาทิ ข้าวตัง และหมูแท่ง เป็นต้น และ 2. ผลิตภัณฑ์อาหาร (Meal) พร้อมทานและพร้อมปรุง อาทิ หมูหยอง และกุนเชียง เป็นต้น ช่องทางจาหน่ายสินค้า ได้แก่ ร้านค้าปลีกและค้าส่งสมัยใหม่ (Modern Trade), ร้านค้าปลีกดั้งเดิม (Traditional Trade), การส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ และช่องทางอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม บริษัทมีรายงานผลประกอบการปี 2564 มีกำไรสุทธิ 64 ล้านบาท ต่อมาในปี 2565 มีกำไรสุทธิ 87 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2566 มีกำไรสุทธิ 162 ล้านบาท และในไตรมาส 1/2567 มีกำไรสุทธิ 27 ล้านบาท ตามลำดับ โดยสาเหตุหลักจากการปรับส่วนผสมผลิตภัณฑ์ที่ผลิตและจัดจำหน่าย โดยเน้นการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม ขนมขบเคี้ยว ซึ่งมีอัตรากาไรขั้นต้นที่สูง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ข้าวตังและหมูแท่ง

Back to top button