“Uptick” แผลงฤทธิ์ “มาร์เก็ตแชร์” KKPS วูบกว่าหมื่นล้านบาท!

KKPS มาร์เก็ตแชร์ปรับตัวลดลงอย่างหนัก หลังใช้ Uptick Rule โดยวันแรกในสัปดาห์ที่ 2 ของการบังคับใช้มาตรการมูลค่าการซื้อขายเหลือ 7.4 พันล้าน จากก่อนหน้านี้อยู่ที่ระดับหมื่นล้านบาทขึ้นไป ฟากมูลค่าซื้อขายตลาดหุ้นไทยลดลงเหลือระดับ 3 หมื่นล้าน จากก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 4 หมื่นล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับมูลค่าการซื้อขายของบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ตั้งแต่เริ่มใช้มาตรการ Uptick Rule เมื่อวันที่ 1 ก.ค.67 ที่ผ่านมา พบว่าบริษัทหลักทรัพย์ที่มีลูกค้าเป็นนักลงทุนต่างชาติและกองทุนเป็นหลัก มีมูลค่าการซื้อขายลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ เทียบกับช่วงก่อนเริ่มใช้มาตรการ Uptick Rule อาทิ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKPS, บริษัทหลักทรัพย์ เจพีมอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด หรือ JPM, บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI, บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CGSI และ บริษัทหลักทรัพย์ ยูบีเอส (ประเทศไทย) จำกัด หรือ UBS

โดยข้อมูลล่าสุดวานนี้ (8 ก.ค.67) เทียบกับวันก่อนหน้า (5 ก.ค.67) พบว่า KKPS มีมูลค่าซื้อขาย 7,400.17 ล้านบาท หรือคิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 12.90%  ลดลงจากวันก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 19,091.19 ล้านบาท หรือคิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 24.58%, JPM มีมูลค่าซื้อขาย 4,045.96 ล้านบาท หรือคิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 7.05% ลดลงจากวันก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 5,420.22 ล้านบาท หรือคิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 6.98%

ด้าน KGI มีมูลค่าซื้อขาย 3,787.48 ล้านบาท หรือคิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 6.60% ลดลงจากวันก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 4,967.12 ล้านบาท หรือคิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 6.40%, CGSI มีมูลค่าซื้อขาย 3,586.69 ล้านบาท หรือคิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 6.25% เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 3,047.56 ล้านบาท หรือคิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 3.92% และ UBS มีมูลค่าซื้อขาย 2,868.87 ล้านบาท หรือคิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 5.00% ลดลงจากวันก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 4,444.28 ล้านบาท หรือคิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 5.72% รายละเอียดตามตารางด้านล่างนี้

เมื่อย้อนดูข้อมูลเพิ่มเติมในช่วงก่อนใช้มาตรการ Uptick Rule หรือช่วงวันที่ 28 มิ.ย.67 เทียบกับวันที่เริ่มใช้มาตรการวันแรก (1 ก.ค.67) พบว่าบริษัทหลักทรัพย์ทั้ง 5 แห่งมีมูลค่าซื้อขายลดลงอย่างหนัก อาทิ KKPS มีมูลค่าซื้อขายลดลงมาที่ระดับ 10,357.75 ล้านบาท หรือคิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 18.61% จากวันก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 22,323.85 ล้านบาท หรือคิดเป็นส่วนแบ่งตลาด  21.72%, JPM มีมูลค่าซื้อขายลดลงมาที่ระดับ 2,799.84 ล้านบาท หรือคิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 5.03% จากวันก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 6,898.13 ล้านบาท หรือคิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 6.71%

ด้าน KGI มีมูลค่าซื้อขายลดลงมาที่ระดับ 3,534.31 ล้านบาท หรือคิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 6.35% จากวันก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 6,763.47 ล้านบาท หรือคิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 6.58%, CGSI มีมูลค่าซื้อขายลดลงมาที่ระดับ 2,577.78 ล้านบาท หรือคิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 4.63% จากวันก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 5,599.21 ล้านบาท หรือคิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 5.45% และ UBS มีมูลค่าซื้อขายลดลงมาที่ระดับ 2,749.42 ล้านบาท หรือคิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 4.94% จากวันก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 5,084.59 ล้านบาท หรือคิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 4.95%

ทั้งนี้ จากข้อมูลดังกล่าว พบว่า KKPS เป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อขายปรับตัวลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ จากระดับ 20,000 ล้านบาท ลดลงสู่ระดับ 7,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังพบว่ามูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยภายหลังจากการใช้มาตรการ Uptick Rule ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 31,617.77 ล้านบาท (เฉลี่ยย้อนหลัง 6 วันทำการ) จากช่วงก่อนหน้านี้อยู่ที่ระดับ 42,958.86 ล้านบาท (เฉลี่ยย้อนหลัง 19 วัน)

อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบข้อมูลซื้อขายของบริษัทหลักทรัพย์ในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา พบ 5 อันดับบริษัทหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด ดังนี้ 1.KKPS มูลค่าซื้อขาย 381,340 ล้านบาท, 2.KGI มูลค้าซื้อขาย 115,834 ล้านบาท, JPM มูลค่าซื้อขาย 86,308 ล้านบาท, UBS มูลค่าซื้อขาย 85,393 ล้านบาท และ CGSI มูลค่าซื้อขาย 75,255 ล้านบาท

Back to top button